คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5332/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินน.ส.3ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ซึ่งซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน น.ส.3ก.เลขที่ 993 ซึ่งจำเลยซื้อจากเจ้าของที่ดินเดิมและครอบครองต่อจากเจ้าของที่ดินเดิม น.ส.3ก. ของโจทก์ออกภายหลัง เฉพาะตรงที่พิพาททับที่ดินจำเลย โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองซึ่งหมายความว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. ของจำเลยเป็น น.ส.3ก. ที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เคยมีการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล โจทก์จะอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่ได้ ซึ่งโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าน.ส.3ก.ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะออกทับ น.ส.3ก. ของโจทก์ข้อเท็จจริงยังไม่เป็นที่ยุติทางใดทางหนึ่ง และตามฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยรู้ถึงการขายทอดตลาดที่ดินน.ส.3ก.ของโจทก์ ซึ่งมีอาณาเขตมาทับที่ดินตาม น.ส.3ก.ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ไปร้องขัดทรัพย์หรือไปคัดค้านการขายทอดตลาด อันเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทจึงไม่ชอบ จำเลยขอเพิ่มประเด็นว่า ที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใดปรากฏว่าจำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า “โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์…”ซึ่งหมายความว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อ แต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า “โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน…” จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องความสุจริตของโจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง ของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่ 1206ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เนื้อที่ 36 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวา โดยซื้อมาจากการขายทอดตลาดที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ต่อมาจำเลยและบริวารได้เข้าล้อมรั้วและปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ส่วนหนึ่งตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยออกไปจากที่ดินและชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ดินตามน.ส.3ก. เลขที่ 993 ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแกจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของจำเลย มีเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 66ตารางวา ตามสำเนา น.ส.3ก.เอกสารท้ายคำให้การ จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ต่อจากเจ้าของเดิมมาเกิน 10 ปีแล้ว น.ส.3ก.เลขที่ 1206 เป็น น.ส.3ก. ที่ออกทับ น.ส.3ก.ของจำเลยโดยไม่ชอบโดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน โจทก์และนายสุวัชร์จันทร์ประเสริฐ ซึ่งเป็นเจ้าของ น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดินตามฟ้องมาก่อนเลย เพียงแต่ยึดถือ น.ส.3ก.ไว้เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทนี้ โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทราบดีว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลยโดยชอบเนื่องจากโจทก์ได้ร้องต่อกรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อนอย่าเพิ่งแบ่งแก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย และกรมบังคับคดีก็ยังไม่ได้แบ่งเงินค่าขายทอดตลาดให้แก่เจ้าหนี้ นายสุวัชร์ จันทร์ประเสริฐเจ้าของ น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ไม่ฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครอง โจทก์ผู้ซื้อที่ดินมาภายหลังย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเช่นกัน จำเลยได้ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ออกโฉนดที่ดินพิพาท โจทก์ได้ไปคัดค้านเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2531และกลับขอรังวัดเพื่อออกโฉนดที่พิพาทเสียเองเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลย ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่า ที่ดิน น.ส.3ก.เลขที่ 993 ตำบลอ่างทอง อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์เป็นของจำเลย ให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอน น.ส.3ก. เลขที่ 1206ซึ่งออกทับ น.ส.3ก. เลขที่ 993 ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่ดินตามฟ้องมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจากการขายทอดตลาดของศาล ที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 993เป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ และน.ส.3ก.เลขที่ 993 เป็น น.ส.3ก.ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะได้ออกทับ น.ส.3ก.เลขที่ 1206 ซึ่งได้ออกไว้ก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2515
วันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาท 2 ข้อ คือ
ข้อ 1. ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 993โจทก์หรือจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
ข้อ 2. โจทก์มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ เพียงใด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ประเด็นข้อ 1 พอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์ จำเลย ส่วนประเด็นข้อ 2 ให้โจทก์นำสืบก่อน
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอสละประเด็นเรื่องค่าเสียหายไม่ติดใจสืบพยาน จำเลยยื่นคำร้องขอให้สืบพยานในประเด็นข้อ 1 และขอเพิ่มเติมประเด็นอีก 2 ข้อ คือ ข้อ ก. ที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดคือที่ดินพิพาทข้อ ข.ที่ดินพิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่เพียงใด ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยแล้วพิพากษาขับไล่จำเลย และยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น โดยจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งไว้แล้วตามคำแถลงคัดค้านลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2531
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นเพิ่มประเด็นและมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท อ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์เนื่องจากที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ซึ่งโจทก์ได้มาโดยการซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์หลังจากโจทก์ซื้อมาแล้วจำเลยและบริวารได้เข้ามาล้อมรั้วและปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การแก้คดีและฟ้องแย้งมาในคำให้การด้วยว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลยมิใช่เป็นที่ดินตามน.ส.3ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ อ้างเหตุว่าที่พิพาทเป็นที่ดินตามน.ส.3ก. เลขที่ 993 ซึ่งจำเลยซื้อมาจากเจ้าของเดิมและเข้าครอบครองทำประโยชน์ต่อจากเจ้าของเดิมจำเลยจึงมีสิทธิครอบครองน.ส.3ก. เลขที่ 1206 เป็น น.ส.3ก. ที่ออกภายหลังเฉพาะตรงที่พิพาทออกทับที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่ 993 ของจำเลยโดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่ดิน นายสุวัชร์ จันทร์ประเสริฐ เจ้าของ น.ส.3ก.เลขที่ 1206 ก็ดีโจทก์ก็ดีไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทมาก่อนเลยเพียงแต่ยึดถือ น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ไว้เท่านั้น ทั้งนายสุวัชร์และโจทก์จึงไม่เคยมีสิทธิครอบครองที่พิพาท ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวหมายความว่า ที่ดินตาม น.ส.3ก. เลขที่ 993เป็น น.ส.3ก. ที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เคยมีการประกาศขายทอดตลาดตามคำสั่งของศาล โจทก์จะอ้างสิทธิว่าเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลไม่ได้ ซึ่งโจทก์ก็ได้ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าน.ส.3ก. เลขที่ 993 ของจำเลยเป็น น.ส.3ก. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะได้ออกทับ น.ส.3ก. เลขที่ 1206 ของโจทก์ซึ่งได้ออกไว้ตั้งแต่ปี 2515 ข้อเท็จจริงจึงยังไม่เป็นที่ยุติในทางใดทางหนึ่งและตามฟ้องโจทก์ไม่ได้กล่าวหาว่าจำเลยรู้ถึงการขายทอดตลาดที่ดินน.ส.3ก. เลขที่ 1206 ซึ่งมีอาณาเขตมาทับที่ดินตาม น.ส.3ก.เลขที่ 993 ของจำเลย จำเลยจึงไม่ได้ไปร้องขัดทรัพย์หรือไปคัดค้านการขายทอดตลาด อันเป็นเรื่องที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วฟังว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตาม น.ส.3ก.เลขที่ 993 จึงมิชอบ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ขอเพิ่มประเด็นข้อ ข. ที่ว่าที่พิพาทได้มาโดยสุจริตหรือไม่ เพียงใด ที่จำเลยขอให้เพิ่มเติมนั้น ศาลฎีกาตรวจดูคำให้การของจำเลยแล้ว จำเลยให้การไว้ตอนแรกว่า “โจทก์บกพร่องไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ชอบที่จะไปร้องขอคืนเงินจากกองพิทักษ์ทรัพย์…”ซึ่งแปลความหมายได้ว่า โจทก์ไม่ทราบว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยชอบ เพราะความบกพร่องของโจทก์ที่ไม่สืบเรื่องราวก่อนซื้อแต่ในตอนต่อมาจำเลยกล่าวในคำให้การว่า “โจทก์ทราบดีว่าที่ดินเป็นของจำเลยโดยชอบ โจทก์ได้ร้องต่อผู้อำนวยการกองพิทักษ์ทรัพย์บังคับคดีล้มละลาย กรมบังคับคดีให้กันค่าขายที่ดินไว้ก่อน…”จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองในตัวไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะสืบในเรื่องนี้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อ 1 และยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์จำเลยในประเด็นข้อ 1 ให้สิ้นกระแสความเสียก่อนแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share