คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5607/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม2528 โดยมีการตกลงกันว่าจำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2529 จึงมิใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแต่เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายไม่เป็นโมฆะ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามข้อตกลงได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘ จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เนื้อที่ ๑๖ ไร่ให้โจทก์ โดยตกลงว่าจะไปจดทะเบียนการโอนขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และมอบที่ดินให้แก่โจทก์ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนการซื้อขายและส่งมอบที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ความจริงเป็นเรื่องจำเลยยืมเงินภรรยาโจทก์และจำเลยยอมให้ภรรยาโจทก์ทำนาในที่ดินครึ่งหนึ่งต่างดอกเบี้ย จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาจะซื้อจะขายโดยภรรยาโจทก์อ้างว่าเป็นหลักฐานการมอบที่ดินให้ทำกินต่างดอกเบี้ย สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทและส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาจะขายที่ดินบางส่วนแก่โจทก์จำนวน ๑๖ ไร่ ตามข้อตกลงในสัญญา และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จากคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ปรากฏว่าในการซื้อขายที่พิพาทมีการตกลงกันว่าจำเลยจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้ในข้อนี้ การซื้อขายจึงมิใช่การซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย จึงไม่เป็นโมฆะ และกรณีนี้โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้โจทก์ตามข้อตกลงได้ และศาลฎีกาเห็นสมควรระบุให้ชัดเจนว่าจำเลยจะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ตามที่โจทก์ครอบครองจำนวน ๑๖ ไร่
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทในส่วนซึ่งโจทก์ได้เข้าครอบครองแล้วให้ครบจำนวน ๑๖ ไร่ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share