แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหลังจากเจ้ามรดกตายหลายปีแล้วแต่โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมมากับจำเลย ไม่เคยสละสิทธิเลยดังนี้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม มาตรา1754
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนายกับ นางเล็ก ซึ่งถึงแก่กรรมแล้ว นายกับนางเล็กมีมรดกรวม 4 สิ่ง โจทก์ได้ขอรับมรดกตามบัญชีหมายเลข 3-4 คณะกรรมการอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรีเปรียบเทียบให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ส่วนทรัพย์ หมายเลข 1-2 ยังไม่มีผู้ใดไปขอรับมรดกต่อเจ้าพนักงาน เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2493 จำเลยทั้งสองได้มาขอตราจองที่นาหมายเลข 3-4 โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยทั้งหมด โจทก์คัดค้าน จึงขอให้บังคับให้จำเลยแบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์
จำเลยรับว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรนายกับนางเล็กจริง แต่ต่อสู้ว่านายกับนางเล็กไม่มีทรัพย์มรดก ทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นของจำเลยทั้งสองทั้งหมด โดยอ้างเหตุผลหลายประการ และตัดฟ้องว่าจำเลยได้ครอบครองทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องนี้แต่ฝ่ายเดียวเกินกว่า 1 ปี คดีขาดอายุความแล้ว
ก่อนสืบพยาน คู่ความรับกันว่า ที่บ้านตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องหมายเลข 1 โจทก์จำเลยมีสิทธิฝ่ายละ 1 ใน 3 โดยถือเอาส่วนที่แต่ละฝ่ายมีเรือนอยู่แล้วเป็นของฝ่ายตน ขณะนี้มีรั้วกั้นอยู่แล้ว ถ้าเนื้อที่ขาดเกินกว่ากันก็จะยอมให้แก่กันจนเนื้อที่เท่ากัน คู่ความตกลงกันดังนี้ จึงไม่ต้องนำสืบถึงที่บ้าน
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ฟังว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยเอานาทั้งสองแปลงนี้จำนองสหกรณ์บ้านลวด โจทก์และนายกับนางเล็กรู้แล้วไม่คัดค้านจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครอง โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อขาดอายุความแล้ว พิพากษาว่าที่บ้านคือทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข 1 เป็นของโจทก์จำเลยฝ่ายละ 1 ใน 3 ของเนื้อที่โดยให้ถือเอาส่วนที่ต่างครอบครองมีเรือน และรั้วอยู่แล้วตามที่ตกลงกันทรัพย์อื่นให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ทรัพย์หมายเลข 2 เป็นของจำเลย ทรัพย์หมายเลข 3-4เป็นของนายกับนางเล็ก เมื่อนายกับตายในพ.ศ. 2492 โจทก์ก็ยังทำนาอยู่ และในพ.ศ. 2493 โจทก์ไปขอรับมรดกบิดามารดาต่ออำเภอมิได้ทอดทิ้ง คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะได้ครอบครองที่มรดกมา พิพากษาแก้ให้แบ่งนาหมายเลข 3-4ให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่สามารถแบ่งกันได้ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามลำดับ นอกจากนี้ยืน
จำเลยฝ่ายเดียวฎีกา ขอให้ยกฟ้องของโจทก์เสียทั้งหมดตามที่ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีได้พิพากษาไว้
คดีนี้คงเหลือปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์หมายเลข 3-4 ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า เดิมเป็นของนายกับนางเล็ก และการที่นายเปรื่องนางใบจำเลยทำอยู่ในนาทั้ง 2 แปลงนี้ก็โดยอาศัยสิทธินายกับนางเล็กนั้นเอง และการที่นายเปรื่องนางเล็กเอาไปจำนองสหกรณ์นั้นเป็นการกระทำด้วยความยินยอมของนายกับนางเล็กซึ่งมีสิทธิครอบครองนาทั้ง 2 แปลงนั้น ซึ่งนางสุ่มโจทก์อันมีฐานะเสมือนคนภายนอกในขณะนั้น หามีสิทธิคัดค้านการกระทำของนายเปรื่องได้ไม่ จะยกเอาข้อที่โจทก์ไม่คัดค้าน การที่นายเปรื่องจำเลยเอานา 2 แปลงนี้ไปจำนองมาปิดปากโจทก์จึงไม่ชอบ ทรัพย์ดังกล่าว จึงเป็นมรดกของนายกับนางเล็ก ซึ่งตกได้แก่โจทก์จำเลยคนละครึ่ง นายกับตายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2492 โจทก์ยังทำนาพิพาทอยู่ เพิ่งไม่ได้ทำในปี 2493 แต่ในปีนั้นโจทก์ก็ไม่ได้ละทิ้ง คงดำเนินการเรียกร้องเอาส่วนแบ่งมรดกรายนี้อยู่ตลอดมา เมื่อไม่สำเร็จจึงได้นำคดีนี้มาฟ้องแสดงว่าโจทก์ได้ครอบครองทรัพย์มรดกร่วมมากับจำเลยไม่เคยสละสิทธิเลย ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์