คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1831/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ตายเมาสุราใช้มีดปลายแหลมแทงด้วยเจตนาฆ่า ถูกจำเลยทางด้านหลังก่อนจำเลยจึงเข้าแย่งมีดมาได้ แล้วผู้ตายกลับเข้ากอดปล้ำแย่งมีดจากจำเลยอีก เช่นนี้ แสดงว่าผู้ตายยังติดตามคิดจะทำร้ายจำเลยให้ถึงตายตามที่มีเจตนาแต่แรก ดังนั้น การที่จำเลยเสือกมีดไปถูกผู้ตายเกิดบาดแผล 3 แผล ลึก 5 เซนติเมตรถึงแก่ความตายในขณะที่ผู้ตายกับจำเลยกำลังแย่งมีดกันอย่างชุลมุนในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ เป็นการที่จำเลยกระทำไปเพื่อให้พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จึงเป็นการกระทำป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2511 เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้มีดปลายแหลมแทงทำร้ายนายน้อย ช่วยรอด หลายทีด้วยเจตนาฆ่า และนายน้อยถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288

จำเลยให้การว่านายน้อยแทงจำเลยก่อน จำเลยแย่งมีด ระหว่างแย่งมีด มีดไปถูกนายน้อย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นป้องกันแต่กระทำไปด้วยบันดาลโทสะ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72 ให้จำคุก 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นป้องกัน หากเป็นบันดาลโทสะก็ขอให้รอการลงโทษ

นางเขียนโจทก์ร่วมอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษฐานฆ่าคนโดยเจตนา

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่เป็นป้องกัน แต่จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ มีเหตุสมควรรอการลงโทษ พิพากษาแก้ เป็นให้รอการลงโทษจำเลยมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกัน

นางเขียนโจทก์ร่วมฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ในคืนเกิดเหตุนายน้อยผู้ตายเมาสุราและได้เข้าแทงจำเลยทางด้านหลังในขณะจำเลยนั่งจดรายชื่อผู้มาร่วมทำบุญในงานศพปู่ของนายเวียง เยาว์ดำ อยู่ที่โต๊ะ นายแฉล้ม เยาว์ดำ พยานจำเลยว่าเมื่อนายน้อยผู้ตายเข้ากอดจำเลยไว้แล้วได้ตะโกนว่า ตาย จึงแสดงว่าการที่นายน้อยผู้ตายเข้าแทงจำเลยนี้ นายน้อยผู้ตายมีเจตนาที่จะฆ่าจำเลย

นายปลื้ม พลสังข์ พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยถูกแทงแล้วจำเลยได้ลุกขึ้นกอดชิงมีดกับนายน้อยผู้ตาย และว่า จำเลยกับนายน้อยผู้ตายอยู่ชิดกันนายเวียงพยานโจทก์ว่า นายน้อยผู้ตายกับจำเลยรุนมีดกัน นายบุญนวลศรี พยานโจทก์ก็เบิกความว่า จำเลยกับนายน้อยผู้ตายแย่งมีดกัน จำเลยเบิกความเป็นพยานว่า นายน้อยผู้ตายจะแย่งมีดคืน ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยแย่งมีดจากนายน้อยผู้ตายมาได้แม้มีดจะไม่อยู่ในมือนายน้อยผู้ตาย แต่การที่นายน้อยผู้ตายเข้ากอดปล้ำแย่งมีดจากจำเลยเช่นนี้ แสดงว่านายน้อยผู้ตายยังติดตามคิดจะทำร้ายจำเลยอยู่ และถ้าหากนายน้อยผู้ตายแย่งมีดจากจำเลยได้ นายน้อยผู้ตายก็คงจะต้องแทงจำเลยให้ถึงตายตามที่นายน้อยผู้ตายมีเจตนามาแต่แรก การที่จำเลยเสือกมีดไปถูกนายน้อยผู้ตาย แม้แผลจะลึกถึง 5 เซนติเมตรศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเสือกมีดไปถูกผู้ตายในขณะกอดปล้ำกับนายน้อยผู้ตาย และได้ความว่าขณะนั้นนายน้อยผู้ตายเมาสุราอยู่ด้วย แต่การที่จำเลยเสือกมีดไปถูกนายน้อยผู้ตายในขณะที่นายน้อยผู้ตายกับจำเลยกำลังแย่งมีดกันอย่างชุลมุนในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าจำเลยได้กระทำไปเพื่อให้พ้นภยันตรายจากนายน้อยผู้ตายที่ใกล้จะถึง ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ร่วมต่อไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยไปและให้ยกฎีกาของนางเขียนโจทก์ร่วมเสีย

Share