คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สามีไปกู้เงินโจทก์โดยภรรยามิได้รู้เห็นยินยอมหรือรับประโยชน์ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภรรยานั้นมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ภรรยาก็มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นด้วย

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นสามีผู้ร้องมาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินใช้หนี้ ได้เงินสุทธิ ๙,๓๕๗.๕๐ บาท แต่หนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ นั้น ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์ด้วย ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรส จึงขอแบ่งส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่ง
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ ๑ เอาเงินของโจทก์ไปใช้สอยร่วมกัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้แบ่งเงินรายนี้ให้แก่ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน ๔,๖๗๘.๗๕๘ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ และผู้ร้องเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้ยึดสินสมรสของจำเลยที่ ๑ กับผู้ร้องมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิ ๙,๓๕๗.๕๐ บาทเพื่อใช้หนี้เงิน ซึ่งจำเลยที่ ๑ กู้ไปและทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้ให้โจทก์ ดังนั้น เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจึงเป็นสินสมรสที่เป็นส่วนของผู้ร้อง ๔,๖๗๘.๗๕ บาท เห็นว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ฟังได้ในเบื้องต้นเพียงว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไป จึงยังไม่พอจะฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมและเอาเงินไปใช้สอยร่วมกัน หนี้ที่จำเลยที่ ๑ กู้โจทก์จึงไม่ใช่หนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๘๒ ที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมด้วย จึงจะเอาใช้จากสินสมรสส่วนของผู้ร่วมดังมาตรา ๑๔๘๐ มิได้
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share