แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2518 เวลากลางวันได้มีคนร้ายลักสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้า 2 เล่ม ราคา 10 บาท กระดาษใบสั่งโฆษณา 1 แผ่น ราคา 50 สตางค์ รวมราคา 10.50 บาท ของนายรุ่งโรจน์ขณะอยู่ในความครอบครองของนางมณีไป ต่อมาวันที่ 9 พฤษภาคม 2518เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้า 1 เล่ม ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ถูกลักไปและสมุดใบเสร็จรับเงิน 2 เล่มใบเสร็จรับเงิน 1 ฉบับเป็นของกลาง ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ดังกล่าวไป หรือมิฉะนั้นระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม 2518 เวลากลางวันถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2518 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันรับเอาสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้าที่ถูกลักไปไว้ในครอบครองโดยรู้อยู่ว่าเป็นของร้ายที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และเมื่อระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม 2518 ถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2518 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยร่วมกันทำปลอมขึ้นทั้งฉบับ ซึ่งใบเสร็จรับเงินอันเป็นเอกสารสิทธิที่นายรุ่งโรจน์ผู้เสียหายออกให้แก่นางสาวพวงสร้อยและผู้มีชื่อลูกค้าของผู้เสียหายเป็นค่าหนังสือพิทักษ์ประชาซึ่งผู้เสียหายเป็นเจ้าของผู้ดำเนินการทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นใบเสร็จรับเงินของผู้เสียหาย และลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับเงินในช่องผู้รับเงินในใบเสร็จรับเงินของผู้เสียหาย และลงลายมือชื่อในฐานะผู้รับเงินในช่องผู้รับเงินในใบเสร็จรับเงินดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจและจำเลยร่วมกันนำใบเสร็จรับเงินที่จำเลยร่วมกันทำปลอมขึ้นไปเรียกเก็บเงินจากนางสาวพวงสร้อย และผู้มีชื่อหลายราย และได้นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวออกใช้ให้แก่นางสาวพวงสร้อยและผู้มีชื่อนางสาวพวงสร้อยและผู้มีชื่อหลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จที่แท้จริงของผู้เสียหาย จึงชำระเงินจำนวนตามใบเสร็จให้จำเลยไป การที่จำเลยปลอมขึ้นและนำใบเสร็จปลอมดังกล่าวออกใช้น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายรุ่งโรจน์ นางสาวพวงสร้อย ผู้มีชื่อและประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 335,357, 83 ริบของกลาง และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาใบสั่งโฆษณาจำนวน 50สตางค์ แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ในความผิดฐานลักทรัพย์ พยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ จำเลยที่ 1 ครอบครองสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้าของผู้เสียหายไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 2 พยานไม่พอฟังว่าได้ร่วมรู้เห็นกับจำเลยที่ 1 รับของโจรด้วย และการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาใบสั่งโฆษณาจำนวน 50 สตางค์ แก่ผู้เสียหาย และคืนสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้าให้แก่ผู้เสียหายของกลางอื่นริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่อาจเป็นความผิดฐานรับของโจร แต่ฟังได้ว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 แม้ปัญหาข้อนี้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจแก้บทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามความผิดที่ถูกต้องได้ ในเมื่ออัตราโทษไม่สูงกว่า และศาลอุทธรณ์มิได้เพิ่มเติมโทษจำเลยและการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265และ 268 พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 จำคุก 1 ปี และผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265,268 ให้ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1สามปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อหาฐานลักทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนข้อหาฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วและหลังออกจากงานจำเลยที่ 1 ได้ไปที่บ้านผู้เสียหายลักเอาสมุดบัญชีรายชื่อลูกค้าที่รับหนังสือพิมพ์ไป 2 เล่ม แล้วซื้อสมุดใบเสร็จรับเงินเอง นำมากรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงินออกให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหายรวมทั้งนางสาวพวงสร้อยเพื่อเก็บเงินค่าสมาชิกหนังสือพิทักษ์ประชาและจำเลยที่ 1ได้เรียกเก็บเงินจากนางสาวพวงสร้อยด้วย นางสาวพวงสร้อยหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้โดยชอบ เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นางสาวพวงสร้อยและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิเพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่นางสาวพวงสร้อยไว้ จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมด้วยศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน