แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งแต่งเครื่องแบบข้าราชการกรมป่าไม้กับจำเลยที่ 2 เข้าไปในบ้านของผู้เสียหายขณะผู้เสียหายกำลังทำหน้าต่างด้วยไม้สักที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ แล้วจำเลยที่ 1 พูดว่า เอาเงินมา 1,000 บาทถ้าไม่ให้จะเสียเงินมากกว่านี้ นั้น ถือได้ว่าคำพูดดังกล่าวประกอบกับการแต่งเครื่องแบบข้าราชการ เป็นการข่มขู่เรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายอยู่ในตัวและผู้เสียหายยอมมอบเงินให้จำเลยทั้งสองไป 500 บาท จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานกรรโชก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้และกระทำการเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้เข้าจับกุมนางบานผู้เสียหาย และข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมให้เงิน ๑,๐๐๐ บาท โดยขู่เข็ญว่าจะจับผู้เสียหายส่งสถานีตำรวจ จนผู้เสียหายยอมให้เงินจำเลยทั้งสองไป ๕๐๐ บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๕, ๓๓๗, ๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗, ๘๓ จำคุกคนละ ๑ ปี นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคำพูดของจำเลยที่ ๑ ที่พูดว่า ‘เอาเงินมา ๑,๐๐๐ บาท ถ้าไม่ให้จะเสียเงินมากกว่านี้’ มิได้เป็นการพูดข่มขู่แต่ประการใด เป็นเพียงเรื่องการต่อรองตามปกติธรรมดาเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายไม่มีหนี้สินเกี่ยวพันกัน จึงไม่มีเหตุผลประการใดที่จำเลยทั้งสองจะต้องไปเรียกเก็บเงินหรือต่อรองเกี่ยวกับการเงินกับผู้เสียหายแต่อย่างใดการที่จำเลยที่ ๑ แต่งเครื่องแบบข้าราชการและพูดให้ผู้เสียหายเอาเงินมาให้จำเลย ๑,๐๐๐ บาท มิฉะนั้นอาจจะต้องเสียเงินมากกว่านั้นแสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าผู้เสียหายมีความผิดเกี่ยวกับไม้แปรรูปที่นำมาใช้ทำหน้าต่างจึงได้มาเรียกร้องเอาเงิน หากผู้เสียหายไม่ให้ก็อาจถูกจับกุมดำเนินคดีต้องเสียเงินมากกว่า ๑,๐๐๐ บาท เห็นได้ว่าคำพูดของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวประกอบกับการแต่งเครื่องแบบข้าราชการของจำเลยที่ ๑ เพื่อให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ เป็นการข่มขู่อยู่ในตัว หาใช่เป็นการต่อรองซึ่งเป็นเรื่องในทางแพ่งดังจำเลยฎีกาไม่ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานกรรโชก
พิพากษายืน.