คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1733/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลสืบตัวโจทก์รู้เห็นผู้เดียวตอนจำเลยเจรจากับโจทก์เรื่องกรรโชกที่ฟ้อง นอกนั้นเป็นผู้ที่รับบอกเล่าจากโจทก์ ไม่มีประโยชน์แก่คดีศาลงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์ 2 ปากแล้วสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้โจทก์ฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยโจทก์ฎีกาข้อเท็จจริงว่า ตามพฤติการณ์ย่อมชี้ให้เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสี่ได้วางแผนการณ์ร่วมกันที่จะใช้อิทธิพลทางหนังสือพิมพ์เข้าขู่เข็ญจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ ข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมออกเช็คพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสี่ อันเป็นการกระทำผิดฐานกรรโชกนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในข้อหาฐานกรรโชก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของจำเลยตามคำเบิกความของพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเป็นการขู่เข็ญเพื่อจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ โจทก์จะฎีกาในข้อเท็จจริงให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ในข้อหาความผิดฐานกรรโชกอีกไม่ได้ เพราะความผิดฐานกรรโชกนั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 8 ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ไม่ได้

ส่วนที่โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งตัดพยานโจทก์นั้นไม่ชอบ ทำให้น้ำหนักพยานโจทก์เบาเกินไปไม่เพียงพอที่จะนำมาวินิจฉัยได้ตามฟ้อง ทั้ง ๆ ที่พยานโจทก์ที่ระบุอ้างไว้ยังมีอีกหลายอันดับทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร ซึ่งโจทก์จะได้นำสืบให้ศาลเห็นถึงเจตนาอันแท้จริงของจำเลยทั้งสี่มีอย่างไรและทำไมถึงกระทำการอันผิดกฎหมายรวมทั้งที่โจทก์เกิดความกลัวถึงกับต้องยอมสั่งจ่ายเช็คให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 วรรคสี่บัญญัติว่า ในระหว่างพิจารณา ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสืบพยานหรือทำการอะไรอีก จะสั่งงดพยานหรือการนั้นเสียก็ได้ ศาลฎีกา เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้ความเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว ศาลจะสั่งงดสืบพยานต่อไปและพิพากษายกฟ้องได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าการกระทำของจำเลยทั้งสี่มิได้เป็นความผิด เพราะเมื่อตัวโจทก์ซึ่งเป็นพยานปากเดียวที่รู้เห็นเหตุการณ์ ขณะที่จำเลยกับพวกไปพบและเจรจากับโจทก์ได้เบิกความถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นและการกระทำของจำเลยตามคำเบิกความของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องแล้วพยานโจทก์ที่จะนำสืบต่อไปก็เป็นเพียงพยานบอกเล่าจากตัวโจทก์ทั้งสิ้น จึงไม่จำเป็นต้องให้มีการสืบพยานโจทก์ต่อไป เพราะแม้จะสืบพยานอื่นต่อไปก็ตามเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่”

พิพากษายืน

Share