คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 827/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวซึ่งอยู่ติดกับถนนตลาดสดเทศบาลที่จำเลยที่ 1 สร้างขึ้นบนที่ดินราชพัสดุ ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 3 จนทำให้ที่ดินราชพัสดุกลายเป็นชุมนุมชนและย่านการค้าการที่จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทสูงถึง 3 เมตร กั้นระหว่างที่ดินราชพัสดุกับที่ดินของโจทก์ แม้กำแพงพิพาทอยู่ในที่ดินราชพัสดุแต่กำแพงพิพาทปิดกั้นหน้าที่ดินและตึกแถวโจทก์ เห็นได้ว่าไม่สะดวกในการไปมาติดต่อระหว่างตึกแถวในที่ดินของโจทก์กับตลาดสดเทศบาลกระทรวงการคลังเจ้าของที่ดินราชพัสดุก็ไม่เห็นชอบที่จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทขึ้นและเคยสั่งรื้อไปครั้งหนึ่งแล้วจำเลยที่ 3 กลับสั่งให้จำเลยที่ 1 ทำขึ้นอีกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเทศบาล กำแพงพิพาทเป็นเหตุขัดข้องไม่ให้มีผู้ใดซื้อหรือเช่าตึกแถวในที่ดินของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 3 เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากโจทก์ก่อนจึงจะรื้อกำแพงพิพาท ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 เป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรหรือคาดหมายไว้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ทำละเมิดต่อโจทก์และโจทก์มีอำนาจฟ้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 390 อำเภอเมืองขอนแก่นทิศตะวันออกจดถนนตลาดสดเทศบาล 2 ยาว 61 เมตรเศษ โจทก์ได้เริ่มสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินดังกล่าวเพื่อขายหรือให้เช่าจำนวน 15 ห้อง และหันหน้าเข้าสู้ตลาดสดเทศบาล 2 โดยได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างจากจำเลยที่ 2 (เทศบาลเมืองขอนแก่น) แล้ว เมื่อเดือนมิถุนายน 2517 จำเลยที่ 1 ซึ่งรับเหมาก่อสร้างตลาดสดและอาคารรอบตลาดสดจากจำเลยที่ 2 ได้ก่อกำแพงอิฐสูงประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 61 เมตร ปิดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์ดังกล่าวกับถนนและบริเวณตลาดสดเทศบาล 2 โดยความควบคุมดูแลและอนุญาตจากจำเลยที่ 2 ยังผลให้ไม่สามารถออกจากที่ดินโจทก์สู่ถนนสาธารณะทางด้านตลาดสดเทศบาล 2 ได้ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย เพื่อไม่ให้มีคนมาซื้อหรือเช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์ และจะมีคนไปเช่าอาคารพาณิชย์รอบตลาดสดและในบริเวณสถานีขนส่งจังหวัดซึ่งจำเลยทั้งสองจะได้รับผลประโยชน์โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียดอกเบี้ยเงินกู้ที่ใช้ลงทุนก่อสร้าง ขอให้จำเลยรื้อถอนกำแพงตามฟ้องออกไปและใช้ค่าเสียหาย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของกระทรวงการคลังและจำเลยที่ 2 และได้ก่อสร้างรั้วกำแพงเพื่อแสดงแนวเขตไม่เป็นละเมิด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ทำรั้วกำแพงโดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมธนารักษ์ควบคุม จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงไม่ต้องรับผิด

ศาลได้มีคำสั่งให้เรียกกรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำขอของโจทก์ และให้เรียกว่าเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 4

จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า กำแพงพิพาทสร้างขึ้นเพื่อกั้นที่ราชพัสดุในความดูแลของจำเลยที่ 3 มิให้ผู้ใดบุกรุก เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายไม่ได้รบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์เสี่ยงภัยสร้างอาคารภายหลังการก่อสร้างกำแพงพิพาท โจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะได้

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทขึ้นเป็นการปิดกั้นหน้าตึกแถวโจทก์กับตลาดสดเทศบาล ผู้จะเข้าอยู่ในตึกแถวของโจทก์ไม่ได้รับความสะดวก เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนเห็นชอบในการสร้างกำแพงพิพาท ต้องร่วมรับผิด จำเลยที่ 2 ที่ 4 ไม่รู้เห็นเป็นใจด้วยพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รื้อถอนกำแพงพิพาทและร่วมกันเสียค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้วพิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 390ด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินราชพัสดุของจำเลยที่ 4 ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 2 เช่าที่ดินราชพัสดุดังกล่าวจากจำเลยที่ 3 แล้วให้จำเลยที่ 1 เช่าช่วงปลูกสร้างอาคารพาณิชย์และตลาดสดเทศบาล จำเลยที่ 1 ทำถนนคอนกรีตของตลาดสดเทศบาลติดกับที่ดินโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 สร้างกำแพงอิฐสูงประมาณ 3 เมตร กั้นถนนตลาดสดเทศบาลกับที่ดินโจทก์ โจทก์ร้องเรียนจำเลยที่ 2 สั่งให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนกำแพงออกไป ต่อมาโจทก์ก่อสร้างตึกแถวในที่ดินโจทก์เพื่อแบ่งขาย เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทขึ้นอีก จำเลยที่ 3 ให้โจทก์ยกตึกแถว 8 คูหาพร้อมที่ดินหรือใช้เงินหนึ่งล้านบาทแก่จำเลยที่ 2 จึงจะรื้อถอนกำแพงพิพาทแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถวซึ่งอยู่ติดกับตลาดสดเทศบาลที่จำเลยที่ 1 สร้างขึ้นบนที่ดินราชพัสดุซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 3 จนทำให้ที่ดินราชพัสดุกลายเป็นย่านชุมชนและย่านการค้า การที่จำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทสูงถึง 3 เมตร กั้นระหว่างที่ดินราชพัสดุกับที่ดินของโจทก์แม้กำแพงพิพาทอยู่ในที่ดินราชพัสดุ แต่ก็ปิดกั้นหน้าที่ดินและตึกแถวของโจทก์เห็นได้แจ้งชัดว่าไม่สะดวกในการไปมาติดต่อระหว่างตึกแถวของโจทก์กับตลาดสดเทศบาล จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินราชพัสดุก็ไม่เห็นชอบด้วยในการสร้างกำแพงพิพาท จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทขึ้นจนจำเลยที่ 2 สั่งให้รื้อมาครั้งหนึ่งแล้ว จำเลยที่ 3 กลับสั่งให้จำเลยที่ 1 สร้างกำแพงพิพาทขึ้นอีกโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 2 กำแพงพิพาทเป็นเหตุขัดขวางไม่ให้มีผู้ใดซื้อหรือเช่าตึกแถวในที่ดินของโจทก์ทั้งจำเลยที่ 3 ได้เรียกร้องผลประโยชน์ตอบแทนจากโจทก์ก่อนจึงจะรื้อกำแพงพิพาท การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 3ดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรหรือคาดหมายได้ ถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ และโจทก์มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337

พิพากษายืน

Share