แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินภายในเส้นสีน้ำเงิน จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในบริเวณเส้นสีแดงเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ราคา 15,000 บาทตามแผนที่ท้ายฟ้อง และตัดฟันต้นไม้ของโจทก์คิดค่าเสียหาย5,000 บาท กับค่าขาดประโยชน์ 250 บาท ขอให้ขับไล่และ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย5,250 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย มีเนื้อที่ 10 ไร่ ราคาไร่ละ 7,000 บาทรวมทุนทรัพย์ 70,000 บาท ทุนทรัพย์ตามฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องและแผนที่ท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ และค่าเสียหายโจทก์มีเพียงใด ส่วนประเด็นว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียงใด และราคาไร่ละเท่าใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทและตรวจสอบราคาที่ดิน แทนที่โจทก์และจำเลยจะนำชี้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทในเขตสีแดงตามประเด็นแห่งคดี จำเลยกลับนำชี้เอาที่ดินนอกเขตพิพาทอันเป็นส่วนที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องรวมเข้ากับที่ดินพิพาทภายในเขตสีน้ำเงินที่จำเลยต่อสู้ ว่าเป็นที่ดินของจำเลย โดยโจทก์และจำเลยไม่ได้นำชี้ให้รังวัดที่ดินพิพาทในแนวเขตสีแดง เช่นนี้จึงไม่อาจทราบว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เท่าใด กรณีต้องถือว่า ที่ดินพิพาท มีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ตามฟ้องโจทก์และมีราคาไร่ละ 6,000 บาทตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองรับกันเมื่อรวมค่าเสียหายของต้นไม้ 5,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อีก 250 บาท ตามฟ้องโจทก์คดีจึงมีทุนทรัพย์รวม 23,250 บาท ทุนทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเกิดจากการนำเอาที่ดินนอกแนวเขตพิพาทที่จำเลยนำชี้ตามแนวเขตสีน้ำเงินของโจทก์ทั้งหมดมารวมเข้าเป็นที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นที่ดินนอกคำฟ้องโจทก์และนอกเหนือคำให้การของจำเลยจึงเป็นที่ดินนอกฟ้องนอกประเด็น ไม่อาจนำมารวมเข้าเป็นที่ดินพิพาทได้ จึงเป็นการกำหนดทุนทรัพย์พิพาทที่ไม่ชอบ แม้โจทก์จะยอมเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดตามคำสั่งศาลชั้นต้นก็ตาม ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุนทรัพย์เดิมที่ถูกต้องอยู่แล้วมาเป็นทุนทรัพย์ใหม่ที่ไม่ถูกต้องได้ คดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นของโจทก์ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์5,250 บาท ตามฟ้อง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกอุทธรณ์เสียการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และเป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วย ต้องถือว่าคดีโจทก์ยุติลงในศาลชั้นต้นแม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์ที่ยุติไปแล้วกลับฟื้นคืนมาได้อีก ทั้งไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะฎีกาในคดีที่ยุติไปแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินภายในเส้นสีน้ำเงินตามแผนที่ท้ายฟ้อง จำเลยทั้งสองกับบริวารบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์บริเวณเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง เนื้อที่ 3 ไร่เศษ ตัดฟันเอาไม้ไปคิดเป็นเงิน 5,000 บาท โจทก์ห้ามปรามแล้วจำเลยทั้งสองไม่ฟัง การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินภายในเส้นสีแดงและสีน้ำเงินตามแผนที่ท้ายฟ้อง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหาย และค่าขาดประโยชน์จำนวน 5,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ในต้นเงิน 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นของจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนายแดง กลั่นสุวรรณเมื่อปี 2516 แล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาโดยมีจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นบุตรช่วยเหลือ ส่วนไม้ที่จำเลยทั้งสองตัดเป็นไม้ขนาดเล็กมีราคาไม่เกิน 500 บาท ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 10 ไร่ ราคาไร่ละ7,000 บาท รวมทุนทรัพย์ 70,000 บาท ทุนทรัพย์ตามฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์คลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องตามความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินภายในเส้นสีน้ำเงิน จำเลยทั้งสองและบริวารบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในบริเวณเส้นสีแดงเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ราคา15,000 บาท ตามแผนที่ท้ายฟ้องและตัดฟันต้นไม้ของโจทก์คิดค่าเสียหาย 5,000 บาท กับค่าขาดประโยชน์ 250 บาท ขอให้ขับไล่และห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 5,250 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ซื้อมาจากนายแดง กลั่นสุวรรณ เมื่อปี 2516 หลังจากนั้น จำเลยที่ 1เข้าทำประโยชน์ปลูกพืชต่าง ๆ โดยมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรเข้าช่วยเหลือ ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์แต่ประการใดจำเลยทั้งสองตัดฟันต้นไม้ในที่ดินพิพาทราคาไม่เกิน 500 บาทที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 10 ไร่ ราคาไร่ละ 7,000 บาท รวมทุนทรัพย์70,000 บาท ทุนทรัพย์ตามฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องต้องเป็นทุนทรัพย์ 70,000 บาท และแผนที่ท้ายฟ้องไม่ถูกต้องตรงกับความจริงเห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่และค่าเสียหายโจทก์มีเพียงใด ส่วนประเด็นว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่เพียงใด และราคาไร่ละเท่าใดเป็นข้อเท็จจริงที่สามารถให้เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดและตรวจสอบราคาได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทและตรวจสอบราคาที่ดินครั้นเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดทำแผนที่พิพาท แทนที่โจทก์และจำเลยทั้งสองจะนำชี้เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินพิพาทในเขตสีแดงว่ามีเนื้อที่ 3 ไร่เศษ หรือ 10 ไร่ ตามประเด็นแห่งคดี จำเลยทั้งสองกลับนำชี้เอาที่ดินนอกเขตพิพาทอันเป็นส่วนที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องรวมเข้ากับที่ดินพิพาทภายในเขตสีน้ำเงินทั้งหมดว่าเป็นที่ดินของจำเลยทั้งสอง ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้นำชี้ให้รังวัดที่ดินพิพาทในแนวเขตสีแดงจึงไม่อาจทราบว่าที่ดินพิพาทตามประเด็นมีเนื้อที่เท่าใด ต้องถือว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ ตามฟ้องโจทก์ และมีราคาไร่ละ 6,000 บาท ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองรับกัน จึงฟังข้อเท็จจริงได้ว่าที่ดินพิพาทตามประเด็นมีจำนวน 3 ไร่เศษ ราคาประมาณ 18,000 บาทเมื่อรวมค่าเสียหายของต้นไม้ 5,000 บาท และค่าขาดประโยชน์อีก250 บาท ตามฟ้องโจทก์ คดีจึงมีทุนทรัพย์ที่ถูกต้องรวม 23,250 บาทหาใช่มีทุนทรัพย์ 182,530 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดไม่ เพราะทุนทรัพย์เดิมจำนวน 23,250 บาท ที่เพิ่มขึ้นเป็น 182,530 บาทเกิดจากการนำเอาที่ดินนอกแนวเขตพิพาทที่จำเลยทั้งสองนำชี้ตามแนวเขตสีน้ำเงินของโจทก์ทั้งหมดมารวมเข้าเป็นที่ดินพิพาทเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา ซึ่งที่ดินส่วนที่อยู่นอกแนวเขตพิพาทดังกล่าวเป็นที่ดินนอกคำฟ้องโจทก์และนอกเหนือคำให้การของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นที่ดินนอกฟ้องนอกประเด็นไม่อาจนำมารวมเข้าเป็นที่ดินพิพาทได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นนำเอาที่ดินที่อยู่นอกเขตพิพาทเส้นสีแดงมารวมเข้าเป็นที่ดินพิพาทแล้วคำนวณราคาที่ดินทั้งหมดเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในคดีจำนวน 182,530 บาทจึงเป็นการไม่ชอบ แม้โจทก์จะยอมเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์23,250 บาท มาเป็นทุนทรัพย์ 182,530 บาท ตามคำสั่งศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงทุนทรัพย์เดิมที่ถูกต้องอยู่แล้วมาเป็นทุนทรัพย์ใหม่ที่ไม่ถูกต้องได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2518 ระหว่าง นายฟอง กลิ่นพิกุล กับพวก โจทก์นางหว่าน ชูพันธ์ จำเลย คดีจึงยังคงต้องถือตามประเด็นว่าที่ดินพิพาทภายในเขตสีแดงตามฟ้องโจทก์มีเนื้อที่ 3 ไร่เศษ และคดีมีทุนทรัพย์เพียง 23,250 บาท ดังนี้ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทมีจำนวน 25 ไร่ 3 งาน 52 ตารางวา นั้นที่ถูกจะต้องเป็นจำนวน 3 ไร่เศษ
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่เป็นของโจทก์พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าตามพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าขาดประโยชน์ 5,250 บาท ตามฟ้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเมื่อคดีมีทุนทรัพย์ชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะยกเสีย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการไม่ชอบและเป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ชอบด้วย ต้องถือว่าคดีโจทก์ยุติลงในศาลชั้นต้นโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา แม้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันควรฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์ที่ยุติไปแล้วกลับฟื้นคืนมาได้อีก ทั้งไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะฎีกาในคดีที่ยุติไปแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และยกฎีกาของโจทก์ให้คืนค่าธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งหมดกับค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นส่วนที่เกินทุนทรัพย์ 23,250 บาท แก่โจทก์