คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2300/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งโจทก์ให้จำเลยอยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท และห้ามจำเลยกับบริวาร เข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของบุตรจำเลยส่วนบ้านพิพาทเป็นของจำเลย จึงต้องถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทแล้ว และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดทุนทรัพย์บ้านพิพาทไว้ในราคา 70,000 บาท ดังนี้ แม้จะเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท แต่เมื่อจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทว่าเป็นของตน จึงเป็นกรณีที่ราคาทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ฉะนั้นจึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 224 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทเนื้อที่รวม 3 งาน 96 2/10 ตารางวา ราคาประมาณ 300,000 บาทที่ดินทั้งสามโฉนดดังกล่าวมีอาณาเขตติดต่อเป็นแปลงเดียวกันโดยมีบ้านเลขที่ 1/1 ของโจทก์ปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าวด้วยโจทก์ได้ให้นายสุวิทย์กับจำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวด้วยกัน ต่อมานายสุวิทย์ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยกับบุตรยังคงพักอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว ต่อมาจำเลยรื้อหลังคาบ้านของโจทก์โดยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจแต่จำเลยกลับเถียงกรรมสิทธิ์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาว่าบ้านเลขที่ 1/1 และที่ดินตามโฉนดที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าว กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจากการที่โจทก์ไม่อาจนำบ้านและที่ดินให้บุคคลอื่นเช่าได้ในอัตราเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยกับบริวารจะออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเดิมที่พิพาทเป็นของนางฉ้ายเลี่ยน ตั๋นสกุล ต่อมานางฉ้ายเลี่ยนได้ยกให้แก่นายสุวิทย์ ตั๋นสกุล และจำเลย หลังจากนั้นนายสุวิทย์กับจำเลยปลูกบ้านเลขที่ 1/1 อยู่อาศัยด้วยกัน ประมาณปี 2510นายสุวิทย์ละทิ้งจำเลยและบุตร 3 คน ไปอยู่ที่กรุงเทพมหานครปี 2511 นางฉ้ายเลี่ยนนำที่พิพาทไปออกโฉนดที่ดิน ปี 2515นางฉ้ายเลี่ยนได้ปรึกษากับจำเลยว่าที่พิพาทที่ได้ยกให้แก่นายสุวิทย์และจำเลยนั้นหากจะยกให้แก่บุตรทั้งสามของจำเลยจำเลยจะขัดข้องหรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ขัดข้อง นางฉ้ายเลี่ยนได้ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินไว้ก่อนแล้วจะให้โจทก์จดทะเบียนโอนให้บุตรทั้งสามของจำเลยเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้ว ดังนั้น ในโฉนดที่พิพาทจึงปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ จำเลยได้ครอบครองบ้านและที่พิพาทเพื่อตนเองและในฐานะแทนบุตรทั้งสามของจำเลยเป็นระยะเวลารวมกว่า 30 ปีโดยเฉพาะระยะเวลาที่ครอบครองที่พิพาทแทนบุตรทั้งสามของจำเลยเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์มีชื่อในโฉนดที่พิพาทนั้นเป็นเพียงถือกรรมสิทธิ์แทนบุตรทั้งสามของจำเลย บ้านและที่พิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์
พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ขอให้แสดงว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทและห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องเมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของบุตรจำเลยทั้งสามส่วนบ้านพิพาทเป็นของจำเลย ดังนี้ จึงต้องถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทและตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 ก็ได้กำหนดทุนทรัพย์บ้านพิพาทไว้ในราคา 70,000 บาท แม้จะเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาท แต่เมื่อจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทว่าเป็นของตน จึงเป็นกรณีที่ราคาทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์เกินห้าหมื่นบาท ฉะนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยสมควรส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247 และ 243(1)พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share