แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ป. ผู้จัดการคนเดิมของนิติบุคคลอาคารชุดโจทก์เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์และเป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่งทนายความไว้ แต่เมื่อโจทก์ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมาเป็น ภ. แล้ว ภ. ย่อมมีอำนาจถอนอุทธรณ์และถอนทนายความ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลอาคารชุดมีนายประเสริฐเป็นผู้จัดการ ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าของร่วมในอาคารชุดโจทก์ จำเลยทั้งห้าได้จัดทำเอกสารและลงลายมือชื่อปลอมในแบบรายการชื่อเจ้าของร่วมในอาคารชุดเพื่อร้องต่อโจทก์ให้จัดการประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี พ.ศ.2547 เพื่อพิจารณาไม่รับรองการประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วมเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2547 ให้ถอดถอนและแต่งตั้งคณะกรรมการนิติบุคคลอาคารชุดและผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด จำเลยทั้งห้าออกหนังสือเป็นคำบอกกล่าวส่งไปยังเจ้าของร่วมว่าโจทก์เพิกเฉยไม่จัดประชุมและร่วมจัดประชุมเองในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 อันเป็นการผิดข้อบังคับนิติบุคคลอาคารชุดและเป็นการเรียกประชุมโดยไม่มีอำนาจการประชุมและมติของที่ประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาว่าการดำเนินการประชุมของจำเลยทั้งห้าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 และมติที่ประชุมดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นโมฆะ ให้จำเลยทั้งห้าหยุดการดำเนินการเพื่อจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญในครั้งต่อไป ห้ามมิให้จำเลยทั้งห้ากระทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางและกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของโจทก์ในการบริหารจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดและกระทำการใดๆ อันเป็นการก่อความเดือดร้อนให้กับเจ้าของร่วมคนอื่นและก่อความเสียหายแก่โจทก์และอาคารชุดโดยรวม
จำเลยทั้งห้ายื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลไม่รับฟ้องแย้งคงเหลือคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากนายประเสริฐได้สิ้นสุดการเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดของโจทก์แล้ว การฟ้องคดีนี้ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการและ/หรือที่ประชุมใหญ่เจ้าของร่วมแต่อย่างใด ลายมือชื่อของเจ้าของร่วมเป็นลายมือชื่อที่แท้จริง การประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2547 เป็นการประชุมที่ชอบด้วยข้อบังคับของโจทก์และพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งห้า โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ให้ยกเลิกคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2548 ที่ให้เจ้าพนักงานที่ดินระงับการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด เดอะ วอเตอร์ฟอร์ด รามา 4/3 ไว้ชั่วคราว
โจทก์อุทธรณ์
คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์โดยนายภิรมย์ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดยื่นคำร้องว่า โจทก์ยอมรับมติที่ประชุมเจ้าของร่วมและจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการผู้จัดการนิติบุคคลแล้ว ไม่ประสงค์ที่จะอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกต่อไป จึงขอถอนอุทธรณ์ และขอถอนทนายความชุดเก่าออกจากการเป็นทนายความของโจทก์ จำเลยทั้งห้ายื่นคำแถลงไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา
นายวิศานติ์ทนายโจทก์ โดยนายประเสริฐผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านการถอนอุทธรณ์และถอนทนายความ
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์และถอนทนายความได้ ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า นายภิรมย์มีอำนาจถอนอุทธรณ์คดีนี้และถอนทนายความแทนโจทก์ หรือไม่ ปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 28 สิงหาคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านการถอนอุทธรณ์และถอนทนายความว่า คู่ความแถลงรับข้อเท็จจริงว่าหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว นิติบุคคลโจทก์ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2549 ตามเอกสารหมาย ค.2 อันเป็นรายงานการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2549 ของโจทก์ ข้อเท็จจริงได้ความตามเอกสารดังกล่าวว่า โจทก์มีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดจากนายประเสริฐมาเป็นนายภิรมย์และได้มีการจดทะเบียนแล้วตามเอกสารท้ายคำร้องลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2549 ดังนี้ นายภิรมย์จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ แม้นายประเสริฐผู้จัดการนิติบุคคลคนเดิมเป็นผู้ยื่นอุทธรณ์และเป็นผู้ลงลายมือชื่อแต่งทนายความไว้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมาเป็นนายภิรมย์แล้ว นายภิรมย์ย่อมมีอำนาจถอนอุทธรณ์และถอนทนายความ หาใช่เป็นอำนาจของนายประเสริฐอย่างที่ผู้คัดค้านอ้างมาในฎีกาไม่ และการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงผู้จัดการนิติบุคคลเป็นการจดทะเบียนตามมติที่ประชุมครั้งใหม่ภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว มิใช่อาศัยมติที่ประชุมที่ยังเป็นข้อพิพาทในคดีดังที่ผู้คัดค้านฎีกา อีกทั้งการถอนฟ้องหรือถอนอุทธรณ์เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะกระทำได้ หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์และถอนทนายความได้ เป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ