คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาตามยอม โดยจำเลยยินยอมให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ถนนในส่วนที่เป็นที่ดินของจำเลย และโจทก์ทั้งสองยินยอมชำระค่าใช้ที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิการบังคับคดีของจำเลยผู้ตายตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดไปยังทายาทของผู้ตาย ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นทายาทโดยธรรมของจำเลยและเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยด้วย ย่อมมีสิทธิขอเข้ารับมรดกความแทนจำเลยและดำเนินการบังคับแก่โจทก์ทั้งสองได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม กรณีนี้หาใช่เป็นการเข้าแทนที่คู่ความที่มรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลพิพากษาตามยอม โดยจำเลยตกลงยินยอมให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิใช้ถนนในส่วนที่เป็นที่ดินของจำเลยโดยโจทก์ทั้งสองยินยอมให้ค่าใช้ที่ดินดังกล่าวแก่จำเลย โดยศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้ร้องประสงค์จะขอเข้ารับมรดกความในคดีนี้
โจทก์ทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยถึงแก่ความตายหลังจากคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงมิได้มีคดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ทายาทหรือบุคคลใด ๆ ไม่อาจจะเข้ามารับมรดกความแทนจำเลยได้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย เมื่อศาลได้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลย ผู้ร้องมีสิทธิเข้ารับมรดกความได้แม้จะเป็นเวลาหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วเพื่อดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาต่อไป หาใช่การเข้าเป็นคู่ความแทนที่ซึ่งจะต้องอยู่ภายในระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ไม่ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ารับมรดกความแทนจำเลย
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า ศาลชอบที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ารับมรดกความแทนจำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๙ และ ๑๖๐๐ เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท และกองมรดกของผู้ตายได้แก่ ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามที่กฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้ว เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ ซึ่งสิทธิในการบังคับคดีของจำเลยผู้ตายให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีนี้เป็นสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดไปยังทายาท เมื่อผู้ทรงสิทธิถึงแก่ความตาย ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายอันเป็นทายาทโดยธรรมของจำเลยย่อมมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของจำเลย อีกทั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยด้วย ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเข้ารับมรดกความแทนจำเลย และดำเนินการบังคับคดีแก่โจทก์ทั้งสองได้ กรณีนี้หาใช่เป็นการเข้าแทนที่คู่ความที่มรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่ ดังนั้น แม้ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอเข้ารับมรดกความแทนจำเลยภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาตามยอมและคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม ผู้ร้องก็ย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่งศาลชั้นต้นมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share