คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

ได้ความว่าโจทย์จำเลยพิภาษกันเรื่องทรัพย์มรฎกของพระศรีสวัสดิแลหลวงฤทธิราณรงค์ที่ถึงแก่กรรม ศาลพิพากษาคดีเปนที่สุดให้เอาที่ดินรายพิภาษรวม ๒ โฉนดประมูลราคาได้เงินเท่าใดให้แบ่งเปนส่วนกันตามคำพิพากษานั้น ฯ
ศาลจังหวัดสมุทสงครามซึ่งเปนศาลเดิมได้จัดการบังคับคดีให้เปนไปตามคำพิพากษา คือ ในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๒ ศาลให้โจทย์จำเลยว่าประมูลราคาที่ดิน ๒ โฉนด โจทย์ให้ราคาเปนเงิน ๒๐๔๐๐ บาท จำเลยให้ราคา ๒๐๓๖๐ บาท นางไปผู้ร้องให้ราคา ๑๕๐๐๐ บาท โจทย์เปนผู้ให้ราคาสูงจึงตกคำโจทย์เปนผู้รับซื้อที่ดินเปนเงิน ๒๐๔๐๐ บาท แลได้มีข้อสัญญาว่าโจทย์จะนำเงินมาชำระต่อศาลในกำหนด ๑ เดือน (คือในเดือนมิถุนายน) ส่วนเงินมัดจำโจทย์ขอให้คิดเอาเงินส่วนได้ของโจทย์วางมัดจำร้อยละ ๕ บาท ถ้าโจทย์ไม่นำเงินมาชำระตามกำหนด โจทย์ยอมให้ศาลริบเงินมัดจำ แลยอมให้ที่ดินตกเปนของจำเลยแลนางไป๋ผู้ประมูลให้ราคาที่ ๒ – ๓ ถัด ๆกันไป ฯ
ครั้นวันที่ ๓๐ มิถุนายนโจทย์ได้นำเงิน ๑๕๐๐๐ บาทมาชำระต่อศาล ที่โจทย์นำเงินมาไม่เต็ม ๒๐๔๐๐ บาทนั้น โจทย์ขอให้ศาลคิดหักเงินส่วนได้ของโจทย์รวมเข้าด้วย ถ้าเงินยังขาดเท่าใด โจทย์จะนำมาชำระให้เต็ม ศาลเห็นว่าจะคิดแบ่งเงินในวันนี้ไม่ทัน ส่วนจำเลยก็มิได้มาศาล จึงตกลงรับเงินของโจทย์ฝากคลัง ๆ ไว้ ฯ
วันที่ ๑ กรกฎาคมจำเลยยื่นคำร้องว่าโจทย์นำเงินมาชำระไม่ครบ ต้องถือว่าโจทย์ผิดสัญญา จำเลยควรได้ที่ดินรายนี้ จำเลยจะได้นำเงิน ๒๐๓๐๐ บาทมาวางศาลใน ๑ เดือน ศาลก็สั่งให้จำเลยวางเงินต่อศาลตามคำร้อง ฯ
รุ่งขึ้นวันที่ ๒ กรกฎาคม จ่าศาลรายงานว่าได้คิดเงินส่วนที่โจทย์จำเลยแลผู้ร้องจะได้ตามคำพิพากษาแล้ว โจทย์
มีเงินส่วนได้อยู่ในสำนวน ๑๗๐๐ บาท ๗๖ สตางค์ เมื่อรวมกับเงิน ๑๕๐๐๐ บาทที่โจทย์นำมาวางไว้แล้ว โจทย์ต้องส่งเงินอีก ๑๖๘๙ บาท ๒๔ สตางค์ จึงจะครบจำนวนที่โจทย์ว่าประมูล แต่ในวันนั้น (วันที่ ๓๐ มิถุนายน) จะคิดแบ่งเปนส่วนไม่ทัน ฯ
ศาลจังหวัดสมุทสงครามมีคำสั่งว่า โจทย์ทำผิดสัญญาส่งเงินไม่ครบไม้ริบเงินมัดจำ ให้ขายที่ดินรายนี้ให้แก่ (จำเลย) ผู้ว่าราคาถัดลงมา แลให้ผู้รับซื้อส่งเงินภายในกำหนด ๑ เดือน ฯ
ฝ่ายโจทย์ก็ร้องขอวางเงิน ๑๖๘๙ บาท ๒๔ สตางค์ตามที่ศาลคิดแล้วว่าโจทย์จะต้องออกอีก ศาลก็สั่งไม่ให้รับเงินของโจทย์ โดยถือว่าโจทย์ผิดสัญญา ฯ
โจทย์อุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษเห็นว่าโจทย์ไม่ได้ทำผิดสัญญา ที่ศาลเดิมสั่งให้ริบเงินมัดจำของโจทย์ แลให้ขายที่ดินให้จำเลยผู้ประมูลถัดลงมานั้นไม่ชอบ จึงพิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลเดิม ให้ศาลเดิมรับเงินของโจทย์ซึ่งขาดอยู่ตามที่คิดไว้ แล้วจัดการส่งโอนที่ดินให้โจทย์เปนผู้รับซื้อไป ฯ
จำเลยทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาคัดค้านพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษว่าพิพากษาผิด ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนแล้ว เห็นว่าที่ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษวินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ด้วยเหตุว่าโจทย์ได้นำเงิน ๑๕๐๐๐ บาท ซึ่งเปนจำนวนมากมาชำระต่อศาลตามกำหนดที่ได้สัญญาไว้กับศาล แลการที่โจทย์มิได้นำเงินมาให้เต็ม ๒๐๔๐๐ บาทนั้น เพราะเงินส่วนได้ของโจทย์มีอยู่ในกองมรฎก โจทย์ได้ขอให้ศาลคิดหักรวมเข้าด้วย ถ้าขาดเท่าใดโจทย์จะชำระให้เสร็จ เมื่อศาลได้ (มีคำรับ) ยอมรับเงินแลยอมจะคิดให้ แต่คิดให้ไม่ทันในวันกำหนดที่โจทย์นำเงินมาวาง (เพราะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย) แล้วจะเหมาว่าโจทย์ผิดสัญญาอย่างไรได้ เพราะโจทย์ได้ทำสัญญากับศาล เมื่อศาลได้ยอมรับเงินเปนการผ่อนผันให้โจทย์ดังนั้น ก็เปนอันว่าโจทย์ไม่ได้ผิดสัญญา ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑ กรกฎาคม จำเลยชิงไหวพริบยื่นคำร้องว่าโจทย์ผิดสัญญานำเงินมาชำระไม่ครบ ศาลเดิมกลับสั่งว่าโจทย์ผิดสัญญาให้ริบเงินมัดจำ แลไม่ยอมรับเงินของโจทย์อีกนั้นเปนคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง ฎีกาของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้นให้ยกเสีย ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ กับให้จำเลยเสียค่าทนายชั้นศาลฎีกานี้ใช้ให้แก่โจทย์เปนเงิน ๓๐๐ บาทด้วย ฯ
วันที่ ๕ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share