คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2098/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านของโจทก์ โจทก์ห้ามปรามแล้วไม่ยอมเชื่อ ฟัง กลับร่วมกันตีไม้สำหรับทำนั่งร้านเพื่อทำงานของตน คร่อมเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์โดยโจทก์มิได้บรรยายว่าเป็นการเข้าไปเพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานบุกรุกในข้อสาระสำคัญตาม ป.อ.มาตรา 362 ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 158(5) แห่ง ป.วิ.อ. ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยเห็นว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาในข้อดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันบุกรุกเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านดจทก์โดยเข้าไปตีไม้สำหรับทำนั่งร้านคร่อมเลยเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์ทั้งนี้ดดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวกกระทำ เป็นเหตุให้สิ่งของของโจทก์แตกเสียหายใช้การไม่ได้ตามปกติ คิดเป็นเงิน 10,000 บาท หลังจากนั้น จำเลยที่ 2ได้นำคนงานบุกรุกเข้าไปในเขตแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ บริเวณหลังคาบ้านอีก และได้ตีไม้บุกรุกเข้าไปในแนวเขตหลังคาบ้านโจทก์ เป็นเหตุให้สิ่งของของโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 10,000 บาท ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 362 และมาตรา 83 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526มาตรา 4
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ยังไม่พอฟังว่าคดีมีมูลความผิดพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับเฉพาะอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ สำหรับความผิดฐานบุกรุกนั้น โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยทั้งสองกับพวกบุกรุกเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านโจทก์ โจทก์ห้ามปรามแล้วไม่ยอมเชื่อฟัง กลับร่วมกันตีไม้สำหรับทำนั่งร้านเพื่อพทำงานของตนคร่อมเลยเข้าไปในบริเวณหลังคาบ้านโจทก์ โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณเขตแดนกรรมสิทธิ์ของบ้านโจทก์ เพื่อยึดถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นหรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข อันเป็นองค์ประกอบของการกระทำความผิดฐานบุกรุกในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 และทั้งไม่แจ้งชัดว่าเพื่อยึดถือการครอบครองหรือกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ดังนี้ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาศาลจะลงโทษจำเลยทั้งสองฐานบุกรุกไม่ได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการที่จำเลยเข้าไปทำนั่งร้านในแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยไม่ได้บอกล่าวหรือได้รับความยินยอมจากโจทก์ก่อนจะเป็นความผิดฐานบุกรุกตามฎีกาของโจทก์หรือไม่ ส่วนความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยทำนั่งร้านยื่นล้ำเข้าไปในแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์แม้จะได้สร้างสิ่งรองรับเพื่อป้องกันมิให้เศษอิฐ ปูน ตกลงไปก็ตามจำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าในระหว่างก่อสร้างจะต้องมีเศษอิฐ ปูน ตกหล่นเข้าไปในบ้านโจทก์ ทำให้ทรัพย์สินในบ้านโจทก์ ได้รับความเสียหายต้องถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา เห็นว่าฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับโดยเห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายืน.

Share