แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเนื้อที่ 28 ตารางวา มิใช่ 31 ตารางวา ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทส่วนที่เกินอีก 3 ตารางวาเป็นของผู้ร้องหรือไม่ ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินประเมินแล้วมีราคา 15,000 บาทจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 8ได้รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ หรือได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ฎีกาเป็นหนังสือ ฎีกาของผู้คัดค้านจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
คดีก่อนเป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านฟ้องขับไล่ผู้ร้องและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าผู้ร้องครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ผู้คัดค้านซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ร้องหรือเรียกค่าเสียหายส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทโดยการครอบครอง เพื่อจะนำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งผู้ร้องไม่สามารถดำเนินการได้ในคดีก่อนดังกล่าว จึงมิใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน การยื่นคำร้องขอของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1181ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เฉพาะส่วนทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ 38 ตารางวา โดยปลูกบ้านเลขที่ 532 ค. อยู่อาศัยมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า 26 ปีแล้ว เดิมโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวมีชื่อนางนิ่ม เครือสุวรรณมารดาผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ปัจจุบันมีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1181 ตำบลในเมืองอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เฉพาะส่วนทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 38 ตารางวาโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1181 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี 2533 ผู้ร้องและผู้คัดค้านเคยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวและศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์เนื้อที่ 28 ตารางวา มิใช่ 38 ตารางวาปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2539 ผู้คัดค้านได้เตรียมการที่จะแบ่งแยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องแล้วแต่ยังไม่พบกับผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องรับมอบที่ดินเนื้อที่ 28 ตารางวา จากผู้คัดค้าน
ก่อนสืบพยาน คู่ความแถลงร่วมกันขออ้างผลการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่พิพาท เอกสารหมาย ร.ค.1 และ ร.ค.2 กับสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 497/2535 ของศาลชั้นต้น (คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2539) เป็นพยานหลักฐานร่วมกัน แล้วขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีไป โดยคู่ความไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1181ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่31 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 532 ค. ที่พิพาท
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1181 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนเนื้อที่ 31 ตารางวา
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทางเหนือของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1181 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 28 ตารางวา มิใช่ 31 ตารางวาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทส่วนที่เกินอีก 3 ตารางวา เป็นของผู้ร้องหรือไม่ ซึ่งผู้คัดค้านได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินประเมินแล้ว มีราคา 15,000 บาท ที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกิน 200,000 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนี้ในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้มีความเห็นแย้งหรือผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้รับรองว่า ฎีกาของผู้คัดค้านมีเหตุสมควรฎีกาได้และฎีกาของผู้คัดค้านไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาอุทธรณ์ภาค 8 ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนข้อที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า การยื่นคำร้องขอของผู้ร้องขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ผู้คัดค้านมิได้ยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้คัดค้านข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบและเมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยก่อน โดยศาลฎีกาเห็นว่า คดีเดิมตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2539 เป็นเรื่องที่ผู้คัดค้านฟ้องขับไล่ผู้ร้องและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 532 ค. และที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1181ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช และเรียกค่าเสียหาย โดยกล่าวอ้างว่าเป็นบ้านและที่ดินของผู้คัดค้าน ผู้ร้องให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องครอบครองบ้านและที่ดินดังกล่าวจนได้กรรมสิทธิ์แล้วผู้คัดค้านไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าผู้ร้องครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วผู้คัดค้านซื้อบ้านและที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ร้องหรือเรียกค่าเสียหาย ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง เพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งผู้ร้องไม่สามารถดำเนินการได้ในคดีก่อนดังกล่าว จึงไม่ใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน การยื่นคำร้องขอของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ฎีกาของผู้คัดค้านข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน