แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาขายไม้ฟืนที่ตัดจากพื้นที่ที่จำเลยได้รับสัมปทานทำไม้ส่งมอบให้โจทก์โดยโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้แก่จำเลยต่อมามีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลง ทำให้การส่งไม้ฟืนเป็นไปไม่ได้ การชำระหนี้จึงตกเป็น พ้นวิสัยเพราะเหตุอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้และสัญญาซื้อขายไม้ฟืนเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตาม มาตรา 372 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องมัดจำคืนจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2530 จำเลยทำสัญญาขายไม้ผืนทำถ่านในป่าที่จัดสรรบ้านโนนทอง ตำบลโคกตะเคียนอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจำเลยได้รับสัมปทานให้โจทก์จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตร ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 1,000,000 บาทตกลงกันว่าจำเลยจะส่งมอบไม้ที่ซื้อขายให้โจทก์เป็นคราว ๆตามจำนวนที่ปรากฏในใบภาคหลวงที่ทางราชการออกให้เมื่อได้ตรวจตีตราและเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแล้ว เริ่มจากเดือนมกราคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะครบ โจทก์จะชำระราคาให้จำเลยทุกครั้งเมื่อได้มีการตรวจตีตราและจำเลยได้เสียค่าภาคหลวงครบจำนวน 1,000 ลูกบาศก์เมตร โดยโจทก์วางมัดจำให้จำเลยไว้เป็นเงิน 300,000 บาท ด้วยเช็คสั่งจ่ายเงิน300,000 บาท จำเลยนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารแล้ว ต่อมาจำเลยขอให้โจทก์ชำระราคาล่วงหน้าให้อีก 300,000 บาท โจทก์ออกเช็คให้จำเลยไปอีก 3 ฉบับสั่งจ่ายเงินฉบับละ 100,000 บาท ซึ่งจำเลยนำไปเรียกเก็บเงินเรียบร้อยแล้วเช่นกัน แต่จำเลยไม่ส่งมอบไม้ฟืนที่ซื้อขายให้โจทก์ตามสัญญาโจทก์จึงให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวจำเลยให้ส่งมอบไม้ที่ซื้อขายทั้งหมดให้โจทก์ภายในกำหนด 30 วันโจทก์พร้อมที่จะชำระราคาส่วนที่เหลืออีก 400,000 บาท ให้จำเลยทันที หากจำเลยไม่ส่งมอบในกำหนดถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาจำเลยต้องคืนเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันรับเงินจากโจทก์ภายใน 7 วัน จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2532 แต่เพิกเฉย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยต้องคืนเงิน600,000 บาท ให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยจะเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่จำเลยได้รับเงินเป็นต้นไป รวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 72,965 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 672,965 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่ได้ตกลงขายไม้ฟืนให้โจทก์และรับมัดจำไว้ตามที่โจทก์ฟ้อง ความจริงเมื่อประมาณปลายปี 2530 โจทก์ต้องการไม้ฟืนในพื้นที่ตำบลโคกตะเคียนอำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 10,000 ลูกบาศก์เมตรจึงมาติดต่อจำเลยซึ่งมีอาชีพทำไม้ให้ช่วยจัดการให้โจทก์ได้เข้าไปตัดฟันไม้ฟืนตามที่โจทก์ต้องการ โดยจะให้ค่าตอบแทนจำเลยในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 100 บาท และโจทก์จะเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ตลอดจนจะเป็นผู้ตัดฟืนนำเจ้าพนักงานไปตรวจตีตราขอใบเบิกทาง และทำการขนย้ายด้วยตนเอง จำเลยไม่มีหน้าที่ต้องส่งมอบไม้ฟืนให้โจทก์ เงิน 300,000 บาท ตามเช็คเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ใช่เงินมัดจำการซื้อขาย ส่วนเงินอีก 300,000 บาท ตามเช็คเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3, 4 และ 5เป็นเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยเป็นค่าตอบแทนการที่จำเลยจัดให้โจทก์ได้เข้าตัดฟันไม้ฟืนในพื้นที่อื่น จำเลยได้จัดให้โจทก์ได้เข้าตัดฟืนได้ครบจำนวนตามข้อตกลงแล้ว โจทก์จึงต้องชำระค่าตอบแทนอีก 700,000 บาท ให้จำเลย แต่โจทก์ไม่ชำระและละเลยไม่ขนย้ายไม้ฟืนออกจากป่าให้เสร็จสิ้นจนกระทั่งต้นปี 2532 ได้มีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เรื่องการให้สัมปทานสิ้นสุดลง เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถขนย้ายไม้ฟืนจากป่าได้ ซึ่งเป็นความผิดของโจทก์เองแต่โจทก์กลับหาเหตุบอกกล่าวให้จำเลยส่งมอบไม้ฟืนให้โจทก์และบอกเลิกสัญญา จำเลยจึงได้มีหนังสือปฏิเสธข้อเรียกร้องของโจทก์และให้โจทก์ชำระค่าตอบแทนที่ค้างชำระอีก 700,000 บาทภายใน 7 วัน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2532 โจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 30 เดือนเดียวกัน แต่โจทก์เพิกเฉยโจทก์จึงต้องเสียดอกเบี้ยให้จำเลยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2532 เป็นต้นไป ถึงวันฟ้องแย้งคิดเป็นเงิน 22,006 บาท ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้โจทก์ใช้เงิน 722,006 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้น 700,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยตกลงขายไม้ฟืนให้โจทก์โดยรับเงินมัดจำและราคาล่วงหน้าไปตามคำฟ้อง ไม่ใช่โจทก์ขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ได้เข้าตัดฟืนไม้ฟืนโดยให้เงินเป็นค่าตอบแทนตามที่จำเลยให้การและฟ้องแย้ง จำเลยไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนให้โจทก์ เพราะความจริงจำเลยไม่ได้รับสัมปทานแต่จำเลยหลอกลวงโจทก์ ไม่ใช่เพราะโจทก์ละเลยไม่ทำการขนย้ายไม้ฟืนออกจากป่าก่อนจะมีคำสั่งปิดป่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระเงินอีก 700,000 บาท ให้จำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่29 ธันวาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้ตามสัญญาซื้อขายไม้ฟืนที่โจทก์ทำกับจำเลยเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าจำนวนไม้ฟืนที่โจทก์ซื้อจากจำเลย 10,000 ลูกบาศก์เมตร จำเลยจะเริ่มส่งมอบให้โจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2531 เป็นต้นไป จนกว่าจะครบโจทก์ชำระราคาให้แก่จำเลยในวันทำสัญญา 300,000 บาทตามเช็คเอกสารหมาย จ.2 ที่เหลือโจทก์จะชำระให้ต่อการออกใบค่าภาคหลวงไม้ฟืนครั้งละ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ทุกครั้งไปจนกว่าจะครบจำนวนไม้ฟืนที่ตกลงซื้อขายกันและจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยได้ส่งมอบไม้ฟืนที่ตกลงซื้อขายกันให้แก่โจทก์แล้วทั้งหมดหรือบางส่วน เพียงแต่ปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาซื้อขายไม้ฟืนกับโจทก์ จึงรับฟังได้ว่าหลังจากทำสัญญาซื้อขายไม้ฟืนเอกสารหมาย จ.1 กับโจทก์แล้วจำเลยไม่เคยส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์เลย แต่เหตุที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนให้แก่โจทก์เพราะมีคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าไม้ที่จำเลยจะทำไม้ฟืนส่งมอบให้โจทก์สิ้นสุดลงทำให้การชำระหนี้ที่จำเลยจะส่งไม่ฟืนให้แก่โจทก์ตามสัญญาเป็นไปไม่ได้ การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้ และสัญญาซื้อขายไม้ฟืนที่โจทก์ทำกับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งคู่สัญญามีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนกัน แม้จำเลยจะหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 วรรคหนึ่ง จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา 372 วรรคหนึ่ง กรณีเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิจำเลยที่จะได้รับชำระหนี้ฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องชำระหนี้ตอบแทน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องมัดจำจำนวน 300,000 บาท ที่ชำระไปแล้วในวันทำสัญญาคืนจากจำเลย”
พิพากษายืน