แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลรัษฎากรมาตรา86/13มิได้ระบุว่าจะต้องออกใบกำกับภาษีในนามของตนเองจึงจะมีความผิดดังนั้นการที่จำเลยซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนและมิใช่ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้ออกใบกำกับภาษีในนามของผู้อื่นก็เป็นความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ จำเลยใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา86/13,90/4(3)ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษต่างหากจากประมวลกฎหมายอาญาจึงไม่เข้าข้อยกเว้นให้รับโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกันโดยจำเลยกับพวกร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออกจำนวนถึง56ใบจำเลยให้การรับสารภาพแม้เจ้าพนักงานจะยึดใบกำกับภาษีปลอมได้จากจำเลยกับพวกในวันเดียวกันก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกปลอมใบกำกับภาษีทั้งหมดพร้อมกันอันจะเป็นการกระทำกรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 91, 264, 265, 268 ประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481มาตรา 77/1(6), 86/13, 90/4, 90/4(3)
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นคดีใหม่ภายใน 15 วัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 ประกอบมาตรา 83ประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 77/1(6), 86/13, 90/4, 90/4(3)ที่แก้ไขแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เฉพาะการร่วมกันออกใบกำกับภาษีร่วมกันปลอมเอกสารใบกำกับภาษี อันเป็นเอกสารสิทธิ และร่วมกันปลอมลายมือชื่อผู้รับเงิน กับใช้เอกสารสิทธิปลอมเป็นหลักฐานก่อสิทธิในฐานะผู้ซื้อสินค้าไปขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามประมวลรัษฎากรจากกรมสรรพากร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นตามฟ้องข้อ 1.1, 1.2 และ 1.3 เป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลรัษฎากรจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 2 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปีส่วนการร่วมกันใช้เอกสารใบกำกับภาษี อันเป็นเอกสารสิทธิที่จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันปลอมขึ้นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตามฟ้อง ข้อ 1.4 ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 จำคุก 2 ปี รวมวางโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 8 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 4 ปี ของกลางริบ พิเคราะห์แล้วไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิตามประมวลรัษฎากร มาตรา 86/13,90/4(3) เพราะไม่ได้ออกใบกำกับภาษีในนามของจำเลยที่ 1 นั้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 86/13 บัญญัติว่า ห้ามมิให้บุคคลซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือมิใช่ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้ตามหมวดนี้ออกใบกำกับภาษี และมาตรา 90/4(3) กำหนดโทษของผู้ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าวตามมาตรา 86/13 เห็นว่ากฎหมายมิได้ระบุว่าจะต้องออกใบกำกับภาษีในนามของตนเองจึงจะมีความผิด การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนและมิใช่ผู้มีสิทธิออกใบกำกับภาษีได้ออกใบกำกับภาษีในนามของผู้อื่นก็เป็นความผิด ตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ควรได้รับโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเพียงกระทงเดียวนั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 บัญญัติว่า ผู้ใดใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 265 และเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น ให้ลงโทษตามมาตรานี้เพียงกระทงเดียว แต่จำเลยที่ 1 ใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 86/13, 90/4(3) ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษต่างหากจากประมวลกฎหมายอาญา จึงไม่เข้าข้อยกเว้นให้รับโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมเพียงกระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าเจ้าพนักงานยึดใบกำกับภาษีปลอมได้ในคราวเดียวกัน จำเลยจึงควรมีความผิดเพียงกระทงเดียวนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออกจำนวนถึง 56 ใบ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพแม้เจ้าพนักงานจะยึดใบกำกับภาษีปลอมได้จากจำเลยที่ 1 กับพวกในวันเดียวกันก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกปลอมใบกำกับภาษีทั้งหมดพร้อมกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลย 3 กระทงตามโจทก์ฟ้องชอบแล้ว
พิพากษายืน