คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2303/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่า จำเลยมีสิทธินำของจากสโมสรท่าเรือมาขายได้ในราคาถูก ถ้าผู้เสียหายจะซื้อ จำเลยคิดเอาแต่ค่าช่วยจัดการ ผู้เสียหายเห็นว่ามีกำไรดี จึงมอบเงินให้จำเลยไปซื้อ ต่อมาจำเลยบอกว่าเอาของมาให้ไม่ได้ และจะเอาของนั้นไปขายที่อื่นแล้วนำผลกำไรมาให้ ผู้เสียหายก็ไม่ว่ากระไร แล้วจำเลยก็นำผลกำไรมาให้ ปฏิบัติกันอย่างนี้หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายที่จำเลยยังไม่ทันได้คืนทุนและกำไรให้ผู้เสียหายก็น่าจะเป็นเพราะถูกจับเสียก่อน ตามพฤติการณ์ดังนี้แสดงว่า ผู้เสียหายมุ่งเอาผลกำไรที่จำเลยขายของที่ซื้อมานั้นโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า จำเลยจะได้ซื้อของนั้นมาจากที่ใด ดังนั้น แม้จำเลยจะบอกแก่ผู้เสียหายว่ามีสิทธิออกของจากสโมสรท่าเรือแต่ผู้เดียวซึ่งไม่เป็นความจริง และสโมสรท่าเรือไม่มีชื่อร้อยเอกสุพรที่รับผิดชอบในการอกของตามที่จำเลยอ้างก็ตามก็หาใช่เป็นข้อสำคัญที่จะถือว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย อันจะเป็นผิดฐานฉ้อโกงไม่หากแต่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่รับรองไว้ต่อผู้เสียหายเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้กล่าวว่าจากหลอกลวงนายอัสนี สันทนะประภา ผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า จำเลยที่ ๒ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเอเย่นต์จากเจ้าหน้าที่สโมสรท่าเรือ มีโควต้าคิดการซื้อของประเภทนมข้น สบู่ ยาสีฟันจากสโมสรท่าเรือได้ในราคาถูก ถ้าผู้เสียหายอยากได้กำไรก็ให้ออกเงินลงทุนซื้อของดังกล่าว และจำเลยที่ ๒ จะมอบให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธินำของที่ซื้อออกจากสโมสรท่าเรือได้แต่เพียงผู้เดียว เพราะจำเลยที่ ๑ รู้จักร้อยเอกสุพร เทียนสุวรรณ หัวหน้าแผนกออกของของสโมสรท่าเรือ ในการซื้อของดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ขอค่านายหน้าส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำของที่ซื้อมาขายต่อให้ผู้อื่นแล้ว ผู้เสียหายก็ยังได้กำไร ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้มอบเงินให้จำเลยที่ ๑ รับไปรวม ๖ ครั้ง เป็นเงิน ๙๙,๗๘๐ บาท ผู้เสียหายรับคืนจากจำเลยที่ ๑ รวม ๗ ครั้ง โดยจำเลยที่ ๑ บอกว่าเป็นกำไรจากการขายของดังกล่าวเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คืนอีก ๖๙,๖๘๐ บาท ความจริงจำเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นเอเย่นต์ ไม่มีโควต้าคิวการซื้อของใด ๆ จากสโมสรท่าเรือและสโมสรท่าเรือก็ไม่มีโควต้าขายสินค้าให้กับบุคคลภายนอกและภายในอย่างใด และจำเลยที่ ๑ ก็ไม่มีสิทธิเอาของออกจากสโมสรท่าเรือแต่ผู้เดียว ทั้งสโมสรท่าเรือไม่มีหัวหน้าแผนกออกของชื่อร้อยเอกสุพร เทียนสุวรรณ หากแต่จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตหลอกลวงเอาเงินไปจากผู้เสียหายดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๓๔๑
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ฉ้อโกงผู้เสียหาย ๖ ครั้ง ต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นคามผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ ๒ เดือน รวม ๑ ปี ให้จำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๖๙,๖๘๐ บาทแก่ผู้เสียหายด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ได้ว่าร่วมทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ เสียด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ เพื่อซื้อนมข้น ยาสีฟัน น้ำตาลทราย รวม ๖ ครั้ง โดยวิธีการปฏิบัติต่อกัน ถือจำเลยที่ ๑ นำเงินของผู้เสียหายไปซื้อของแล้วเอาของดังกล่าวไปขายที่อื่นเอากำไรมามอบให้แก่ผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ ๑ คิดเอาเพียงเปอร์เซ็นต์การซื้อของดังกล่าวเท่านั้น ครั้งสุดท้ายจำเลยที่ ๑ ยังไม่ทันได้ซื้อของนำไปขายและมอบกำไรให้ผู้เสียหายก็ถูกจับเสียก่อน พิเคราะห์แล้ว พฤติการณ์ที่ได้ความ ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่า มูลเหตุจูงใจโดยตรงที่ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปรวม ๖ ครั้งนั้น ก็เพราะเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ ซื้อของได้ราคาถูกจริงตามที่ได้เห็นจำเลยที่ ๑ เอาของประเภทเดียวกันมาที่บ้านจำเลยที่ ๒ แล้วเอาของดังกล่าวขายในราคาถูก ๑๐ ครั้งก่อนเกิดเหตุ ต่อมาจำเลยที่ ๑ จึงเสนอขายของแก่ผู้เสียหายโดยชักชวนซื้อนมข้นตรามะลิก่อน โดยบอกราคาแก่ผู้เสียหายว่า ซื้อได้ร่วมทั้งค่าเปอร์เซ็นต์ที่จำเลยที่ ๑ บอกไว้ด้วยแล้วเพียงลังละ ๑๒๐ บาท ราคาที่ผู้เสียหายซื้อจากท้องตลาดลังละประมาณ ๑๖๗-๑๖๘ บาท ผู้เสียหายสนใจและเมื่อคิดราคาต้นทุนและราคาที่จะขายได้ตามวิสัยผู้เสียหายซึ่งเป็นพ่อค้าขายของประเภทดังกล่าวแล้ว เห็นว่ามีกำไรดี จึงได้มอบเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปซื้อมาให้เมื่อจำเลยที่ ๑ บอกว่า เอาของมาให้ไม่ได้ และจะเอาของนั้นไปขายที่อื่นแล้วนำผลกำไรมามอบให้ ผู้เสียหายก็ไม่ว่าอะไร ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายได้มอบเงินให้แก่จำเลยที่ ๑ โดยสมัครใจเพื่อไปซื้อของ โดยผู้เสียหายมุ่งเอากำไรจากการที่จำเลยที่ ๑ เอาเงินของผู้เสียหายไปจัดซื้อของมาและนำผลกำไรที่ขายของที่ซื้อมานั้นมามอบให้แก่ผู้เสียหาย โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า จำเลยที่ ๑ จะได้ซื้อของนั้นมาจากสโมสรท่าเรือหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นการที่จำเลยที่ ๑ บอกแก่ผู้เสียหายว่า มีสิทธิออกจากสโมสรท่าเรือแต่ผู้เดียว และสโมสรท่าเรือไม่มีชื่อร้อยเอกสุพร ที่รับผิดชอบในการออกของตามที่จำเลยที่ ๑ อ้างและโจทก์นำสืบมาก็ตาม ก็หาใช่เป็นข้อสำคัญที่จะถือว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายอันจะเอาผิดแก่จำเลยที่ ๑ ฐานฉ้อโกงได้ไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้ต่อผู้เสียหายได้ รูปคดีจึงลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามฟ้องไม่ได้
พิพากษายืน
(ชุ่ม สุนทรชัย ชลอ จามรมาน อุดม ทันด่วย)

Share