แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจะเกิดเหตุเป็นเวลาเริ่มมืดแล้ว โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไปบรรทุกไม้สนมาจอกอยู่ที่ริมถนนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของรถ และต่อสายไฟมาที่สาลี่พ่วงท้ายรถ แต่ยังไม่ได้ติดหลอดไฟและเปิดไฟ ขณะกำลังต่อสายไฟอยู่ รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยได้วิ่งตามหลังรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งมาด้วยความเร็วสูง ครั้นมาถึงตรงที่รถโจทก์จอดอยู่ มีรถเปิดไฟสว่างวิ่งสวนทางมา คนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยไม่เห็นรถโจทก์ที่จอดอยู่เพราะมิได้เปิดไฟ จึงวิ่งเข้าชนรถสาลี่ของโจทก์เป็นเหตุให้รถของโจทก์และจำเลยเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บ และลูกจ้างคนหนึ่งของโจทก์ถึงแก่ความตาย เช่นนี้การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้น เป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย และตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดของทั้งสองฝ่ายมีความร้ายแรงพอ ๆ กัน โจทก์ในฐานะเป็นนายจ้างรถคันเกิดเหตุคันหนึ่งจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย ค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมาสมควรให้เป็นพับไปแก่ตน แต่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นแก่ลูกจ้างของโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตาย นั้นให้แก่มารดาผู้ตายครึ่งหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองใจความว่า นางอนงค์โจทก์และลูกจ้างอีก ๖ คน มีนายอู๊ด อินทรบุตร บุตรนางคิ้วโจทก์ด้วยได้นำรถยนต์บรรทุกมีสาลี่พ่วงท้ายของนางอนงค์โจทก์ไปบรรทุกไม้เสา บรรทุกเสร็จจึงนำรถกลับ ได้หยุดรถชิดไหล่ถนน ได้มีรถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลย ๒ คันแล่นตามกันมารถยนต์บรรทุกน้ำมันคันหลังของจำเลยซึ่งมีลูกจ้างจำเลยเป็นผู้ขับ ได้เห็นสัญญาณไฟท้ายรถของนาง อนงค์โจทก์ และเห็นไฟหน้ารถจักรยานยนต์คันนั้นแล้ว แต่มิได้ชะลอความเร็ว และใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ พอหักพวงมาลัยรถหลบรถจักรยานยนต์ รถยนต์ของจำเลยก็เสียการทรงตัวแฉลบพุ่งเข้าชนท้ายรถตรงสาลี่ล้อหลังของรถนางอนงค์โจทก์ เป็นเหตุให้นายอู๊ด อินทรบุตร ถึงแก่ความตาย ฯลฯ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่นางคิ้วโจทก์เป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท และแก่นางอนงค์โจทก์เป็นเงิน ๗๗,๔๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้ทั้งสองสำนวน และฟ้องแย้งในสำนวนหลังว่า เหตุที่รถชนกันตามฟ้องเป็นเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ของผู้ควบคุมรถยนต์ของนางอนงค์โจทก์ เนื่องจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนางอนงค์โจทก์เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยคันหมายเลขทะเบียน ร.บ.๐๓๒๕๗ เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้นางอนงค์โจทก์ใช้ค่าเสียหาย ๕,๒๐๐ บาท
นางอนงค์โจทก์สำนวนหลังให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การที่รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ของจำเลยชนนั้น เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่รถยนต์จำเลยฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทั้งสองฝ่ายนางอนงค์โจทก์และจำเลยต่างประมาทด้วยกันทั้งคู่ตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดพอกัน ทั้งสองฝ่ายไม่จำต้องใช้ค่าเสียหายแก่กัน แต่จำเลยต้องรับผิดต่อนางคิ้วโจทก์เพียงครึ่งหนึ่ง โดยคิดค่าเสียหายทั้งหมด ๓๐,๐๐๐ บาท คงให้จำเลยรับผิดเพียง ๑๕,๐๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้นางคิ้วโจทก์เป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ในคดีที่นางอนงค์เป็นโจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้ง
โจทก์ทั้งสองสำนวนและจำเลยสำนวนแรกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์สำนวนหลังและจำเลยสำนวนแรกฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ นางอนงค์โจทก์ได้ควบคุมรถยนต์บรรทุกไปบรรทุกไม้สนด้วยตนเอง ตอนจวนจะเกิดเหตุเป็นเวลาเริ่มมืดแล้ว ขณะนั้นนางอนงค์โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไม้กลับโดยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาจอดอยู่ที่ริมถนนเพชรเกษมเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของรถ ขณะที่จอดรถอยู่ดังกล่าวได้ราว ๑๕-๒๐ นาที รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยก็วิ่งมาชนสาลี่พ่วงท้ายที่บรรทุกไม้ รถยนต์บรรทุกไม้ของนางอนงค์โจทก์จอดอยู่โดยมิได้เปิดไฟและข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์ว่าก่อนที่จะเกิดเหตุชนกัน รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยได้วิ่งตามหลังรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่งมา เห็นไฟหน้ารถส่ายไปมาซึ่งแสดงว่ารถได้วิ่งมาอย่างเร็ว พอรถจำเลยวิ่งตามมาถึงตรงที่รถโจทก์จอดอยู่ก็พุ่งเข้าชนท้ายสาลี่รถบรรทุกไม้รถโจทก์ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าขณะที่รถเกิดชนกันนั้น รถของโจทก์กำลังต่อสายไฟมาที่สาลี่พ่วงท้ายยังไม่ได้ติดหลอดไฟและเปิดไฟไว้ และที่รถจำเลยวิ่งมาชนรถโจทก์นั้นก็เชื่อว่ารถจำเลยได้วิ่งมาด้วยความเร็วสูงซึ่งจะเห็นได้จากอาการวิ่งของรถ คือเห็นไฟหน้ารถส่ายไปมา ประกอบกับขณะนั้นก็มีรถเปิดไฟสว่างจะวิ่งสวนมา คนขับของจำเลยคงมองไม่เห็นรถโจทก์ที่จอดอยู่ เพราะมิได้เปิดไฟ รถจำเลยจึงวิ่งเข้าชนรถสาลี่ของโจทก์ การที่รถของโจทก์จำเลยเกิดการชนกันขึ้นจึงเห็นได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายและตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดของทั้งสองฝ่ายก็เห็นว่ามีความร้ายแรงพอ ๆ กัน นางอนงค์โจทก์ในฐานะเป็นนายจ้างรถคันเกิดเหตุเองจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมานั้นควรให้เป็นพับไปแก่ตน ส่วนจำเลยก็เช่นกัน จะต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นแก่นายอู๊ดผู้ตาย กล่าวคือ ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางคิ้วโจทก์มารดาผู้ตาย และค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างกำหนดไว้ก็สมควรแล้ว
พิพากษายืน