คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4090/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนประเด็นแห่งคดีมีว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้แก่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ได้หรือไม่ แต่สำหรับประเด็นในคดีนี้มีว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ดังนั้น แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุคนละอย่าง กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยไว้เพื่อใช้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์จำเลยได้จัดการซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นเหล่านั้นออกขายให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยโจทก์มิได้สั่ง การที่จำเลยได้ขายหุ้นของโจทก์ให้แก่บุคคลอื่นไปโดยพลการ โดยไม่ได้รับความยินยอมและอนุญาตจากโจทก์นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจที่โจทก์มอบหมายไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สมัครเป็นลูกค้าของจำเลย ให้จำเลยเป็นตัวแทนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โจทก์ฝากเงินมัดจำในการซื้อหุ้นไว้ให้แก่จำเลยหลายครั้งรวม 125,112.50บาท จำเลยได้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์หลายครั้งรวม 6,000 หุ้น เป็นเงิน2,088,000 บาท ต่อมาจำเลยได้ขายหุ้นไปโดยไม่สุจริต ได้เงิน1,653,800 บาท จำเลยจึงหักเงินที่โจทก์มัดจำไว้ทั้งหมดและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดว่า จำเลยไม่มีอำนาจเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 166,196.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราวันละ 8 บาท จากต้นเงิน 40,000 บาท วันละ 6 บาท จากต้นเงิน30,000 บาท วันละ 4 บาท จากต้นเงิน 20,000 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 14.6 ต่อปี ของต้นเงิน 35,112.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินมัดจคืน ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ คดีขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 166,196.50 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยวันละ 8 บาท จากต้นเงิน 40,000 บาท ดอกเบี้ยวันละ 6 บาท จากต้นเงิน 30,000 บาท ดอกเบี้ยวันละ 4 บาท จากต้นเงิน 20,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.6 ต่อปี จากต้นเงิน35,112.50 บาท ตามลำดับ นับจากวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า คู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3355/2525 ของศาลชั้นต้น เป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีนี้ ประเด็นข้อพิพาทในคดีดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ฟ้องและพิพาทกันด้วยเรื่องผิดสัญญาตัวการตัวแทน ซึ่งคดีนี้โจทก์ตั้งฐานฟ้อจำเลยในเรื่องผิดสัญญาตัวการตัวแทนอันเป็นสัญญาเดียวกันกับคดีดังกล่าวอีก กรณีจึงเป็นการพิพาทกันในประเด็นข้อพิพาทที่ซ้ำกันฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีก่อนประเด็นแห่งคดีมีว่า โจทก์ (จำเลยในคดีนี้) มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการเป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นให้แก่จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ได้หรือไม่แต่สำหรับประเด็นในคดีนี้มีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ดังนั้น แม้จะเป็นคู่ความรายเดียวกัน แต่ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุคนละอย่าง กรณีจึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลยนั้นเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ ข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า โจทก์ได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยไว้เพื่อใช้ซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น125,112.50 บาท จำเลยได้จัดการซื้อหุ้นให้แก่โจทก์ตามคำสั่งของโจทก์แล้ว แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้นำหุ้นนั้นออกขายให้แก่บุคคลภายนอกไปโดยโจทก์มิได้สั่ง ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 3355/2525 ว่า การกระทำของจำเลย(โจทก์ในคดีนั้น) ไม่เป็นประโยชน์ต่อโจทก์ (จำเลยในคดีนั้น)จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยได้ขายหุ้นของโจทก์ให้แก่บุคคลอื่นไปโดยพลการ โดยไม่ได้รับความยินยอมและอนุญาตจากโจทก์นั้น ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจที่โจทก์มอบหมายไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ต้องคืนเงินและทรัพย์สินที่ได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนให้แก่โจทก์ทั้งหมด
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระต้นเงินจำนวน 125,112.50 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยวันละ 8 บาท จากต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2520 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ วันละ 6 บาทจากต้นเงิน 30,000 บาท นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2520 จนกว่าจะชำระเสร็จ วันละ 4 บาท จากต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันที่ 30มกราคม 2521 จนกว่าจะชำระเสร็จ และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.6ต่อปี จากต้นเงิน 35,112.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 41,084 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,500 บาทแทนโจทก์.

Share