คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 191/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยขออนุญาตเอาพระพุทธรูปบูชาของผู้เสียหายลงไปดูกลางแสงแดดที่พื้นดินหน้าบ้าน แล้วอุ้มพระพุทธรูปวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์ปิกอัพซึ่งพวกของจำเลยจอดรออยู่ โดยมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนแล้วหลบหนีไปกับรถยนต์คันดังกล่าว ไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ เพราะไม่ได้ฉกฉวยเอาซึ่งหน้า คงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย จำเลยซึ่งเป็นทหารร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นศาลพลเรือนตามมาตรา 14(1) และมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2484

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336,336 ทวิ, 83 และให้จำเลยคืนพระพุทธรูปบูชาหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนพระพุทธรูปบูชาแก่ผู้เสียหาย คืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 100,000 บาทโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคหนึ่ง (7) ประกอบด้วยมาตรา336 ทวิ, 83 จำคุกจำเลย 4 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์มีนางประดับ สุขอาภรณ์ ผู้เสียหายและนายเชาว์ สุขสว่าง สามีของผู้เสียหายมาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา ขณะที่พยานทั้งสองอยู่ที่บ้านในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบ้านยกพื้นสูง จำเลยมาขอดูพระพุทธรูปบูชาของผู้เสียหายซึ่งมีราคาประมาณ 100,000 บาทนายเชาว์ยกเอาพระพุทธรูปมาให้จำเลยดูที่ห้องโถงกลางบ้าน จำเลยดูพระอยู่ประมาณ 10 นาที แล้วอุ้มไปดูที่บริเวณริมหน้าต่างนายเชาว์จึงเข้าไปในครัว จำเลยบอกผู้เสียหายว่าขออุ้มพระลงไปดูข้างล่างกับแสงแดด แล้วก็อุ้มพระเดินลงบันไดไป ผู้เสียหายเข้าไปบอกนายเชาว์ให้ออกมาดูเพราะเกรงว่า จำเลยจะเอาพระไป เมื่อพยานทั้งสองออกมาดูอีกครั้ง เห็นจำเลยวิ่งไปตามถนนทางเท้าไปสู่ถนนใหญ่ห่างบ้านประมาณ 30 เมตร ผู้เสียหายร้องบอกให้ชาวบ้านช่วยจับจำเลย ส่วนนายเชาว์วิ่งไปดักอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางที่รถจะต้องวิ่งออกไป เมื่อวิ่งไปห่างถนนประมาณ 60 เมตร ก็เห็นรถยนต์ปิกอัพสีฟ้าแล่นด้วยความเร็วออกไป ในรถมีคนนั่งอยู่ประมาณ2 คน นายเชาว์กลับบ้านและวิ่งไปหากำนันกับตำรวจข้าง ๆ บ้านแต่ไม่อยู่ เมื่อตามตำรวจมาแล้วได้ขอให้ช่วยพูดวิทยุสกัดจับแต่ไม่สามารถสกัดจับได้ นายเชาว์จึงกลับบ้าน ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางคนที นอกจากนี้นายบัญญัติพันธ์ประสิทธิเวช พยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 13 นาฬิกา พยานกำลังเล่นตะกร้ออยู่กับเพื่อนประมาณ6 คนที่บริเวณหลังบ้านผู้เสียหายได้ยินเสียงผู้เสียหายตะโกนว่าเขาเอาพระไปแล้ว และพยานเห็นจำเลยวิ่งอยู่ห่างจากหลังบ้านผู้เสียหายประมาณ 5-6 เมตร จำเลยวิ่งไปได้ประมาณ 20 เมตร ก็ถึงถนน เพื่อนของพยานวิ่งตามไป ส่วนพยานวิ่งไปดักอีกทางหนึ่ง เมื่อไปถึงถนนเห็นรถยนต์ปิกอัพยี่ห้อมาสด้าสีฟ้าเร่งเครื่องแล่นผ่านพยานไปด้วยความเร็ว ในรถยนต์มีชาย 2 คน แต่พยานไม่ทราบว่าเป็นใคร จากนั้นพยานก็กลับบ้าน เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามไม่มีสาเหตุกับจำเลยและเบิกความสอดคล้องต้องกัน จึงไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะมาเบิกความปรักปรำจำเลย นอกจากนี้จำเลยเองก็เบิกความรับว่า จำเลยเอาพระพุทธรูปไปโดยไม่ได้บอกผู้เสียหาย เพียงแต่อ้างว่าเหตุที่ไม่ได้บอกเพราะจำเลยได้บอกนางบุญมาก สุขอาภรณ์ มารดาของผู้เสียหายไว้ก่อนแล้วและจำเลยต้องรีบกลับไปทำงานจึงอุ้มพระพุทธรูปลงเรือรับจ้างไป ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวเห็นได้ว่าไม่มีเหตุผลเพราะได้ความว่าจำเลยดูพระพุทธรูปอยู่เป็นเวลาประมาณ 10 นาทีโดยบอกผู้เสียหายและนายเชาว์เพียงว่า ขอดูพระก่อนแล้วจะให้เจ้านายจำเลยมาดูเพื่อจะขอเช่าเท่านั้น จำเลยไม่ได้บอกผู้เสียหายเลยว่านางบุญมากอนุญาตให้นำพระพุทธรูปไปได้ การที่จำเลยเอาพระพุทธรูปไปในพฤติการณ์ดังที่โจทก์นำสืบมาจึงฟังได้ว่าเป็นการเอาไปโดยทุจริต ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดเนื่องจากได้ขออนุญาตนางบุญมากซึ่งเป็นป้าของจำเลยไว้แล้วนางบุญมากเดือดร้อนเรื่องเงินได้บอกให้จำเลยและญาติ ๆ ช่วยติดต่อจำหน่ายพระพุทธรูปให้นั้นก็ได้ความจากตัวจำเลย นายปรีชา จันทร์หนูและนายสมบุญ จันทร์หนู พยานจำเลยว่านางบุญมากเคยบอกว่าต้องการขายพระพุทธรูปบูชาเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อนเกิดเหตุซึ่งนับได้ว่าเป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว และหากนางบุญมากต้องการขายพระพุทธรูปด้วย เหตุดังกล่าวจริงแล้วเมื่อจำเลยขายได้เงินมาก็จะต้องนำไปให้นางบุญมาก แต่ได้ความจากจำเลยเองว่า เมื่อจำเลยขายพระพุทธรูปไปได้ในราคา 20,000 บาท จำเลยกลับนำเงินไปให้นายเชาว์ที่บ้าน แต่นายเชาว์ไม่ยอมรับ นอกจากนี้ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยก็ไม่ยอมให้การโดยอ้างว่าจะมาให้การในชั้นศาลโดยไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงไม่ยอมให้การเพราะหากเป็นความจริงดังที่จำเลยต่อสู้แล้ว จำเลยย่อมจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ เพราะในขณะนั้นนางบุญมาก สุขอาภรณ์ ก็ยังมีชีวิตอยู่และได้ความจากนางสาวจรรยา เลขาวิจิตร พยานจำเลยว่าหลังจากเกิดเหตุประมาณ 20 วันนางบุญมากก็ได้ออกจากโรงพยาบาลไปอยู่กับนางประดับที่กรุงเทพมหานครแล้ว หากจำเลยอ้างเหตุดังกล่าว พนักงานสอบสวนย่อมจะทำการสอบสวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่แน่ชัด การที่จำเลยเพิ่งอ้างเรื่องนี้ขึ้นมาในชั้นศาลจึงเป็นข้อพิรุธและไม่อาจรับฟังเป็นความจริงได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เพียงแต่เห็นรถยนต์ปิกอัพแล่นออกไปและมีคน 2 คนในรถดังกล่าว แต่ไม่มีใครเห็นตอนจำเลยมากับรถและตอนที่จำเลยหลบหนีทั้งพยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยอยู่ในรถปิกอัพคันดังกล่าวด้วยจึงลงโทษจำเลยฐานร่วมกับพวกลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำความผิด การพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมไม่ได้นั้น ได้ความจากคำของนายเชาว์และนายบัญญัติพยานโจทก์ว่าเมื่อพยานทั้งสองเห็นจำเลยวิ่งหลบหนีไปจากบ้านที่เกิดเหตุพยานทั้งสองได้วิ่งไปดักอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางที่รถจะต้องแล่นออกไป ทันใดนั้นมีรถยนต์ปิกอัพ 1 คัน แล่นออกไปด้วยความเร็วโดยภายในรถมีชาย 2 คนนั่งอยู่ แม้พยานทั้งสองจะไม่ทราบว่าจำเลยอยู่ในรถหรือไม่เพราะกระจกรถนั้นปิด แต่ก็ได้ความจากนายบัญญัติว่าพวกของนายบัญญัติได้วิ่งตามจำเลยไปทันที แต่ก็จับจำเลยไม่ได้จำเลยอุ้มพระพุทธรูปโลหะขนาดหน้าตักกว้าง 1 ศอก สูง 1 ศอกวิ่งหนีไป หากจำเลยไม่ขึ้นรถยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปก็จะต้องถูกพวกของนายบัญญัติจับได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยอุ้มพระพุทธรูปของผู้เสียหายวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์ปิกอัพซึ่งพวกของจำเลยจอดรถอยู่ โดยมีการวางแผนเตรียมการมาก่อนแล้วหลบหนีไปในรถยนต์คันดังกล่าว แต่อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยคดีนี้ไม่เป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เพราะจำเลยไม่ได้ลักพระพุทธรูปไปโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้าคงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า พระพุทธรูปบูชาเป็นของนางบุญมาก สุขอาภรณ์ไม่ใช่ของผู้เสียหาย เมื่อนางบุญมากอนุญาตให้จำเลยขายพระดังกล่าวได้นางประดับจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและไม่มีอำนาจร้องทุกข์การสอบสวนจึงไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ผู้เสียหายเบิกความว่าพระพุทธรูปบูชาเป็นมรดกตกทอดแก่พยานและนางบุญมาก ผู้เสียหายเป็นผู้ครอบครองผู้ดูแลบ้านที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ยังได้ความว่าผู้เสียหายเป็นบุตรคนเดียวของนางบุญมาก ขณะเกิดเหตุนางบุญมากป่วยต้องไปนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล วันเกิดเหตุผู้เสียหายและนายเชาว์สามีก็อยู่ที่บ้านเกิดเหตุ โดยจำเลยได้ไปขอดูพระพุทธรูปบูชาจากผู้เสียหาย ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้เสียหายเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองพระพุทธรูปบูชา ในขณะเกิดเหตุจึงเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเป็นทหารชั้นประทวนประจำการ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลพลเรือนได้นั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพวกของจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ คดีนี้จึงต้องขึ้นศาลพลเรือน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลพลเรือนได้ตามมาตรา 14(1) และมาตรา 15 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2484ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7) วรรคแรก ประกอบด้วย มาตรา 336 ทวิ, 83 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share