แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยยอมให้ผู้ร้องไปขอออกโฉนดที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ถือได้ว่าจำเลยได้ยกที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยเสน่หา โดยที่จำเลยรู้อยู่ว่าจะทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นจะชำระหนี้อีก แม้ผู้ร้องจะไม่รู้ถึงความจริงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้ว โจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237.
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของผู้ร้อง ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์แถลงคัดค้านว่า ที่ดินที่ยึดเป็นของจำเลย จำเลยยกให้แก่ผู้ร้องโดยเสน่หา ทำให้โจทก์เสียเปรียบ เพราะจำเลยไม่มีทรัพย์อื่นอีก เป็นการฉ้อกลเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิของผู้ร้องตามโฉนด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ รู้เห็นเป็นใจให้ผู้ร้องออกโฉนดที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์ขอเพิกถอนได้ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๒ ยอมให้ผู้ร้องไปขอออกโฉนดที่พิพาทเป็นของผู้ร้อง ถือได้ว่าผู้ร้องได้ยกที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยเสน่หา โดยที่จำเลยที่ ๒ รู้อยู่ว่าจะทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่มีทรัพย์สินอย่างอื่นจะชำระหนี้อีก แม้ผู้ร้องจะไม่รู้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นลูกหนี้โจทก์ก็ไม่สำคัญ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้ว โจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗
พิพากษายืน ยกฎีกาผู้ร้อง.