คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1645/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าห้องพิพาทโจทก์ซื้อมาจากเจ้าของเดิม โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยังไม่ได้บอกกล่าว จำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
ก่อนพิจารณาโจทก์จำเลยรับกันว่าโจทก์เป็นเจ้าของห้องพิพาทจำเลยไม่ได้ทำสัญญาเช่าจากโจทก์ จำเลยขายข้าวสารน้ำปลาและของเบ็ดเตล็ดและอาศัยอยู่ในห้องพิพาท ได้จดทะเบียนการค้าตามโจทก์อ้างจริง แล้วโจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ดังนี้แม้ในฟ้องของโจทก์ได้กล่าวว่าได้บอกกล่าวจำเลยแล้วจำเลยก็มิได้รับตามฟ้อง จึงเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความในเรื่องบอกกล่าวจึงจะมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อไม่สืบก็ต้องยกฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นกลับฟังว่าโจทก์ได้บอกกล่าวแล้วจึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงเรื่องบอกกล่าวนอกพยานหลักฐานในสำนวน และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายไม่ใช่ข้อเท็จจริงไม่ต้องห้ามฎีกา
อนึ่งโจทก์ก็มิได้คัดค้านในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้(เรื่องบอกกล่าว) จึงให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3283 พร้อมด้วยห้องแถวโดยซื้อมาจากนางเขียน จำเลยเช่าห้องเลขที่ 128 ประกอบการค้ามาแต่เดิม โจทก์ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2496 จำเลยไม่ออกไป จึงขอให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย

จำเลยต่อสู้ว่าเช่าเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ โจทก์ไม่ได้บอกกล่าวแก่จำเลย ๆ จึงยังคงมีสิทธิอยู่ต่อไปตามสัญญาเดิม ฯลฯ

ชั้นพิจารณาก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยรับกันว่าที่ดินและห้องแถวพิพาทเป็นของโจทก์ซื้อจากนางเขียน เมื่อห้องพิพาทเป็นของโจทก์แล้วจำเลยไม่ได้ทำหนังสือเช่าจากโจทก์ จำเลยจดทะเบียนการค้าที่ห้องพิพาทตามสำเนาใบทะเบียนการค้าที่โจทก์อ้างจริง จำเลยขายน้ำปลาขายข้าวสารและของเบ็ดเตล็ดที่ห้องพิพาทและใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยแล้วโจทก์จำเลยไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท ฯลฯ

จำเลยอุทธรณ์หลายข้อมีข้อหนึ่งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่บอกกล่าวจำเลยก่อน ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงในเรื่องบอกกล่าวนี้นอกเหนือพยานหลักฐานไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ ฯลฯ

โจทก์ฎีกาว่าปัญหาที่ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวแล้วหรือไม่นั้นในคำฟ้องของโจทก์มีว่าได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องพิพาทตั้งแต่เดือนเมษายน 2496 และปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาเห็นว่าเกี่ยวกับการบอกกล่าวตามที่โจทก์บรรยายฟ้องมานั้นจำเลยมิได้รับตามคำฟ้อง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความในเรื่องบอกกล่าวดังที่อ้างมานั้น โจทก์จึงจะมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบ ศาลก็ต้องยกฟ้องของโจทก์ แต่ศาลชั้นต้นกลับฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกห้องพิพาทก่อนฟ้องแล้ว จึงเป็นการฟังข้อเท็จจริงเรื่องการบอกกล่าวนอกพยานหลักฐานในสำนวน ข้ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมาย จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ อนึ่งโจทก์ก็มิได้คัดค้านในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องบอกกล่าวนี้ พิพากษายืน

Share