แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นแล้ว แม้จำเลยได้นำเงินไปชำระให้ผู้เสียหายบางส่วน ยังไม่ครบตามจำนวนในเช็คนั้น ก็ยังไม่มีผลให้คดีเป็นอันเลิกกันตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยออกเช็ค ๒ ฉบับสั่งจ่ายเงิน ๒๐,๒๐๐ บาท ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๑ ฉบับหนึ่ง และสั่งจ่ายเงิน ๒๐,๘๐๐ บาท ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๑๑ อีกฉบับหนึ่ง เพื่อเป็นการชำระหนี้ค่าซื้อรถยนต์ให้กับบริษัทประชายนต์ จำกัด เมื่อถึงวันกำหนดจ่ายเงิน ผู้เสียหายได้นำเช็คทั้ง ๒ ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินโดยผ่านทางธนาคารกสิกรไทย จำกัด แล้ว ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ทั้งนี้ จำเลยได้ออกเช็คดังกล่าวโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกเช็คให้มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี อันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ภายในกำหนดของกฎหมายแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกเช็คให้มีจำนวนเงินสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็ค แม้จะได้ความว่าจำเลยนำเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทไปชำระให้บริษัทประชายนต์ แต่คดีก็ฟังไม่ได้ว่า บริษัทประชายนต์ยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้ที่เหลือและจำนวนเงินที่นำไปชำระหนี้ยังไม่ครบตามจำนวนในเช็ค พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เข็ค พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ จำคุก ๓ เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ ให้หนึ่งในสามคงเหลือจำคุก ๒ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ในเมื่อบริษัทผู้เสียหายได้ผ่อนเวลาชำระเงินตามเช็คนั้นให้จำเลยแล้วพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คที่จำเลยออกให้บริษัทประชายนต์ จำกัด ซึ่งเป็นเงินค่ารถยนต์ที่จำเลยซื้อไปนั้น เมื่อถึงกำหนดวันจ่ายเงินตามเช็คแล้ว บริษัทประชายนต์ จำกัด ไปเบิกเงินจากธนาคารไม่ได้ โดยทางธนาคารแจ้งให้ไปติดต่อจำเลยผู้สั่งจ่าย ซึ่งแสดงว่าเงินในบัญชีของจำเลย ผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย คดีจึงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว
ที่จำเลยกับนายณรงค์ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยได้นำเงินไปชำระให้นายณรงค์ไว้บ้างแล้วนั้น ในข้อนี้คงได้ความจากพยานโจทก์และพยานจำเลยว่าจำเลยได้นำเงินไปชำระให้นายณรงค์เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๑๑ ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่เช็คถึงกำหนดวันจ่ายเงินและภายหลังจากวันที่นายณรงค์ไปแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจแล้ว และในข้อนี้พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ มาตรา ๕ บัญญัติว่า “ถ้าผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓ ได้นำเงินตามจำนวนในเช็คไปชำระแก่ผู้ทรงเช็ค หรือแก่ธนาคารเพื่อจ่ายเงินตามเช็คภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ธนาคารที่มีชื่อในเช็ค บอกกล่าวให้ผู้ออกเช็คได้รับทราบว่าธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงิน ให้คดีเป็นอันเลิกตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” แต่คดีคงได้ความว่า จำเลยนำเงินไปชำระให้นายณรงค์เพียง ๑๕,๐๐๐ บาทเท่านั้น ไม่ครบตามจำนวนเงินในเช็คที่จำเลยออกให้แก่บริษัทประชายนต์ จำกัด คดีจึงไม่เลิกกันตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ และไม่เป็นผลที่จะทำให้จำเลยพ้นจากความผิดตามฟ้องของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น