คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5409/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลย เป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สิน อันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควร ได้พรากเด็กหญิงสุลาวัลย์ถวิลพงษ์ อายุ 6 ปี และเด็กชายนาวี แดงสำอางค์ อายุ 3 ปี ไปเสียจากนางสมควรถวิลพงษ์ มารดา เพื่อให้ผู้เยาว์ทั้งสองเก็บหาทรัพย์สินและขอทานเงินจากประชาชนให้แก่จำเลย อันเป็นการกระทำเพื่อหากำไร จำเลยได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เยาว์ทั้งสองให้ปราศจากเสรีภาพ แล้วจำเลยได้ทอดทิ้งเด็กชายนาวีไว้ที่สถานีรถไฟกรุงเทพเพื่อให้พ้นไปจากตนโดยประการที่ทำให้ผู้เยาว์ปราศจากผู้ดูแล และจำเลยได้ข่มขืนใจเด็กหญิงสุลาวัลย์ให้เก็บเศษกระดาษ ถุงพลาสติก ขอทานเงินและอาหารจากประชาชนโดยการข่มขู่บังคับและใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการทุบตีทำร้ายร่างกายให้เด็กหญิงสุลาวัลย์ต้องจำยอมและกระทำการตามที่จำเลยบังคับจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงพระนครใต้ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 21171/2528 ฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ลงโทษจำคุก 15 วันปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี จำเลยมากระทำผิดคดีนี้ในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58, 91, 306, 309, 310, 317 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 9 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 นำโทษจำคุกที่ศาลรอการลงโทษไว้ดังกล่าวมาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 21171/2528 ของศาลแขวงพระนครใต้จริง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่าการที่จำเลยบังคับให้เด็กทั้งสองออกขอทานนำเงินมาให้มิใช่เป็นการกระทำเพื่อหากำไร จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306, 309, 310 และมาตรา 317 วรรคแรก รวม 4 กระทง เรียงกระทงลงโทษ ในความผิดตามมาตรา 306, 309, 310 จำคุกกระทงละ 1 ปี และตามมาตรา 317 วรรคแรก จำคุก 4 ปี รวม 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน นำโทษที่ศาลรอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษคดีนี้เป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน 15 วัน

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ปรับบทลงโทษจำเลยเฉพาะกระทงความผิดฐานพรากเด็กตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก เป็นมาตรา 317 วรรคท้าย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในชั้นฎีกามีปัญหาที่จะวินิจฉัยเพียงว่า การที่จำเลยพรากเด็กไปเพื่อให้ไปขอทานเงินและเก็บหาทรัพย์สิน มาให้จำเลยเป็นการกระทำเพื่อหากำไรดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินอันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไรดังโจทก์ฟ้อง ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น และที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310โดยมิได้ระบุวรรคใดนั้น ยังไม่ชัดเจน เห็นสมควรระบุเสียให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 306, 309 วรรคแรก, 310 วรรคแรก, 317 วรรคท้าย เฉพาะฐานพรากเด็กลงโทษจำคุก 5 ปี รวมกับโทษในกระทงอื่นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาเป็นจำคุก8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เป็นจำคุก 4 ปี บวกโทษจำคุก 15 วันที่รอการลงโทษไว้เข้ากับคดีนี้รวมเป็นโทษจำคุก 4 ปี 15 วัน

Share