แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยไว้ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างหรือแสดงว่าจำเลยที่ 2 รับประกันภัยจากจำเลยที่ 1 ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่า ว. ผู้ขับรถยนต์มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัย ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบในผลแห่งละเมิดของ ว. ด้วย ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นมูลที่จะให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด เท่ากับคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิด เป็นคำฟ้องที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 จะแก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันที่เกิดเหตุ ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรกกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้ และศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ธก – 5678 กรุงเทพมหานคร โดยมอบหมายให้นายวอง อันดริว จงยิน เป็นผู้ขับ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยทุประเภท และได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุยังอยู่ในอายุสัญญาประกันภัย นายเทพ นพพิทักษ์ ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท – 5769 นนทบุรี โดยมีนางสมพิศ นพพิทักษ์ ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์นั่งมาด้วย เมื่อถึงที่เกิดเหตุบริเวณป้ายรับส่งผู้โดยสารหน้าชุมชนนายเทพชะลอความเร็วเพื่อไม่ให้ชนสุนัข ระหว่างนั้นนายวองขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ธก – 5678 กรุงเทพมมหานคร ตามหลังมาในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วสูงโดยปราศจากความระมัดระวัง นายวองห้ามล้ออย่างกระชั้นชิดจนไม่สามารถหยุดรถได้ทัน เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน กท – 5769 นนทบุรี ได้รับความเสียหาย นางสมพิศได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ธก – 5678 กรุงเทพมหานคร ในขณะเกิดเหตุ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าว ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 41,410.96 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากโจทก์ไม่บรรยายฟ้องให้จำเลยที่ 2 เข้าใจว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ในลักษณะใด จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อใคร เพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรหากจำเลยที่ 2 ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดแทนและรับผิดในนามผู้ใดค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินสมควร ค่าเสียหายที่แท้จริงไม่เกิน 10,000 บาท รถยนต์หมายเลขทะเบียน ธก – 5678 กรุงเทพมหานคร มีการทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ไว้แก่บริษัทลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด โดยมีวงเงินคุ้มครองในกรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัยไว้สูงสุดจำนวน 50,000 บาท ต่อเมื่อจำนวนเงินความคุ้มครองแก่ผู้ประสบภัยไม่เพียงพอต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงจะรับผิดในส่วนที่เกิน โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายมาจำนวน 39,219 บาท โจทก์จึงต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาจากบริษัทลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 41,410.96 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดในฐานะเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุ ซึ่งจำเลยที่ 1 ได้เอาประกันภัยไว้ แต่ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างหรือแสดงว่า จำเลยที่ 2 รับประกันภัยจากจำเลยที่ 1 ในลักษณะประกันภัยค้ำจุน ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่านายวอง อันดริว จงยิน ผู้ขับรถยนต์มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบในผลแห่งละเมิดของนายวองด้วย ฟ้องโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นมูลที่จะให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด เท่ากับคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่จะให้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิด เป็นคำฟ้องที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้ต่อมาจำเลยที่ 2 จะแก้ไขคำให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุ ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจกท์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรก กลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้ และศาลจะพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 2 โดยไม่อาศัยคำฟ้องไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น