คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1591/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีสองสำนวน โจทก์จำเลยต่างผลัดกันเป็นโจทก์ร้องฟ้องกันเกี่ยวกับที่พิพาทรายเดียวกัน แต่คดีหลังฟ้องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า แม้จำเลยจะรับว่าโจทก์ได้เข้าทำนาในที่พิพาทมาเกิน 1 ปีแล้ว แต่ปรากฎว่าในคดีอีกสำนวนหนึ่ง (ระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีนี้) โจทก์แถลงต่อศาลว่าจะออกจากที่พิพาทไป ดังนี้ถือว่า โจทก์ได้สละการครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1377 แล้ว โจทก์กลับมาแย่งการครอบครองใหม่ จำเลยจึงฟ้อง (แย้ง) เมื่อนับแต่วันโจทก์แถลงสละการครอบครองจนถึงวันจำเลยฟ้องแย้งยังไม่เกิน 1 ปี คดีของจำเลยจึงยังไม่ขาดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาท ๒๐ ไร่เป็นของโจทก์ เมื่อเดือน พ.ย. ๒๔๙๗ ศาลจังหวัดฉะเชิงเทราได้ออกหมายเรียกโจทก์มาศาลโดยจำเลยกล่าวหาว่าโจทก์บุกรุกที่ดินของจำเลย ซึ่งชนะคดีบุคคลอื่นตามสำนวนแพ่งแดงที่ ๑๖/๒๔๙๔ และที่ ๗๖/๒๔๙๕ จำเลยขอให้ศาลเรียกโจทก์ไปขอให้ศาลบังคับออกจากที่ดิน ศาลสั่งว่าเมื่อโจทก์เป็นเจ้าของก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นมาใหม่ ในชั้นนี้ให้โจทก์ออกไปภายใน ๑๕ วัน โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้ขึ้น ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีแพ่งแดงที่ ๑๖/๒๔๙๔ ศาลไม่ได้ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยกลับจงใจปิดบังอำพรางและฉวยโอกาสนำคดีมาฟ้องศาลในที่ดินแปลงเดียวกัน ทำให้ศาลหลงเชื่อผิดความจริง คำพิพากษาคดีแพ่งแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕ เป็นคำพิพากษาในคดีที่เป็นฟ้องซ้ำไม่มีผลบังคับ จำเลยจะถือว่าเป็นเจ้าของที่พิพาทตามคำพิพากษาในคดีแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕ ไม่ได้ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคดีพิพากษาคดีแพ่งแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕ และแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ปี ๒๔๙๒ นางแปลกฟ้องขับไล่จำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องตามคดีแพ่งแดงที่ ๑๖/๒๔๙๔ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จำเลยฟ้องขับไล่นางแปลก และขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลย ศาลขับไล่นางแปลกและสั่งว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของจำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ โจทก์ในคดีนี้กับพวกบุกรุกเข้าไปในที่พิพาท จำเลยขอให้ศาลเรียกโจทก์กับพวกมาห้ามปราม โจทก์กับพวกแถลงต่อศาลเมื่อวันที่ ๒๙ ธ.ค. ๒๔๙๖ รับว่าจะไม่เกี่ยวข้องในที่ดินแปลงนี้อีก แต่ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ โจทก์ก็ยังบุกรุกเข้าแบ่งทำนาแปลงนี้อีก ทำให้จำเลยเสียหายขาดประโยชน์ในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ คิดเป็นเงิน ๑๕๔๐ บาท และปีต่อ ๆ ไปปีละ ๑๕๔๐ บาท โจทก์เพิ่มเข้าแย่งการครอบครองเมื่อปี ๒๔๙๖ และ ๒๔๙๗ โจทก์ไม่มีสิทธิยกเรื่องการฟ้องซ้ำมาเป็นข้ออ้างในคดีนี้ ขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารและให้ใช้ค่าเสียหายดังกล่าว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตามฟ้องเดิมของโจทก์ และตัดฟ้องว่าฟ้องแย้งของจำเลยขาดอายุความแล้ว
ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องที่รายพิพาท ฯลฯ กับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายปี พ.ศ.๒๔๙๗ เป็นเงิน ๑๕๔๐ บาทและปีต่อไปอีกปีละ ๑๕๔๐ บาท จนกว่าโจทก์จะออกจากที่พิพาท ฯลฯ
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ข้อโต้แย้งโจทก์ที่ว่าจำเลยฟ้องคดีแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕ ซ้ำกับคดีแดงที่ ๑๖/๒๔๙๔ คำพิพากษาในคดีหลัง (แดงที่ ๗๖/๒๔๙๕) ใช้ไม่ได้เพราะเป็นการฟ้องซ้ำกันนั้น เห็นว่าคู่ความในคดีแดงที่ ๑๖/๒๔๙๔ เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๔ ยังไม่ถึงฤดูทำนาในปีนั้น ฟ้องของจำเลยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในภายหลัง หาเป็นเรื่องฟ้องซ้ำไม่
ส่วนที่เกี่ยวกับอายุความนั้น ที่โจทก์อ้างว่าในคำให้การจำเลยรับว่าโจทก์เข้าทำนาในที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ฟ้องแย้งของจำเลยในคดีนี้ (โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๒๕ พ.ย. ๒๔๙๗) เกินกว่า ๑ ปีแล้ว ฟ้องแย้งของจำเลยจึงขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่าโจทก์จะนับเอาการทำนาปี พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตัดสิทธิจำเลยหาได้ไม่ เพราะถึงแม้คำแถลงของโจทก์ที่ว่าไม่ได้ทำในที่ดินของจำเลยจะเป็นเท็จ แต่โจทก์ก็รับรองต่อศาล (ในคดีแพ่งแดงที่ ๗๖/๒๔๙๕) ว่าจะไม่เข้าเกี่ยวข้องในที่นาของจำเลยอีกต่อไป ดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้สละการครอบครองแล้วตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๗๗ โจทก์กลับเข้าแย่งทำนาในปี พ.ศ. ๒๔๙๗ อีก จำเลยก็มาร้องต่อศาลอีก และเกิดฟ้องร้องกันในปีนี้ คดีของจำเลยไม่ขาดอายุความ ค่าเสียหายศาลล่างวินิจฉัยมาชอบแล้ว พิพากษายืน.

Share