คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทแม้โจทก์จะได้เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาว่าจำเลยบุกรุกมาแล้ว และในคดีอาญานั้นแม้ศาลจะได้พิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดทางอาญาโดยมิได้กล่าวถึงสิทธิในทางแพ่งแต่อย่างใด ต่อมาโจทก์จึงฟ้องคดีแพ่งขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากที่พิพาท ดังนี้การที่จะวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47
เมื่อที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 และ พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2479 แล้ว ดังนี้แม้ที่พิพาทจะเป็นที่มือเปล่าก็ตาม ก็ต้องนำกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่42 มาใช้บังคับคดี โดยถืออายุความสละที่ดิน 9 ปี10 ปี ไม่ใช่อายุความ 1 ปี ตามนัยฎีกาที่ 759/2494 (ฎีกาที่ 759/2494)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 1 แปลงเนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 12 วา โดยได้รับโอนมาจากหลวงสุนทรธนผลเมื่อปี พ.ศ. 2492 ราคา 20,000 บาท ต่อมาระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2495 ถึงวันที่ 15 เมษายน 2496 จำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปปลูกห้องแถวชั้นเดียว3 ห้องในที่ดินของโจทก์ทั้งหมด โจทก์บอกให้จำเลยออก จำเลยไม่ยอมออกโจทก์ได้ร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดอาญาจึงขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดิน และให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวกับห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่าจำเลยซื้อที่พิพาทจากนายหนูแดงผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง โจทก์ไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลย ที่ดินรายนี้ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่านายหนูแดงเจ้าของเดิมได้เข้าถากถางเพื่อเจตนาเป็นเจ้าของ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีที่อัยการฟ้องจำเลยหาว่าบุกรุกที่ดินรายนี้ว่าเป็นที่ดินที่นายหนูแดงขายให้จำเลยจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงในคดีอาญามาเป็นหลักวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งแต่กรณีจะเป็นประการใดก็ตาม จำเลยครอบครองที่พิพาทมาเกิน 1 ปีแล้วฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวออกไปจากที่ดินและห้ามจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทต่อไปและให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ 300 บาท แทนโจทก์ด้วย

จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมหลวงสุนทรธนผลมีที่ดินรวมทั้งที่พิพาทด้วยประมาณ 80 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 นายหนูแดงบุกรุกหลวงสุนทรธนผลจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานให้ดำเนินคดี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดในชั้นฎีกา โดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องอ้างเหตุว่าการเข้ายึดถือที่ดินของนายหนูแดงไม่เป็นการบังอาจ จึงไม่เป็นความผิดทางอาญา แต่ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยถึงสิทธิในที่รายพิพาทว่าเป็นของใคร ตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีแดงที่ 681/2482 และในสำนวนของศาลชั้นต้นคดีแดงที่ 1228/2481 ต่อมาหลวงสุนทรธนผลได้ขายที่พิพาทให้โจทก์เป็นเงิน 60,000 บาท ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2496 นายไสวจำเลยได้สมคบกับพวกบุกรุกเข้ามาปลูกห้องแถวชั้นเดียว 3 ห้องในที่พิพาท โจทก์ร้องทุกข์ อัยการฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดทางอาญาโดยมิได้กล่าวถึงสิทธิในทางแพ่งเลย โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยในทางแพ่งดังนี้ จะนำข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาตามสำนวนคดีแดงที่ 681/2482 และคดีแดงที่ 1237/2497 ของศาลจังหวัดอุดรธานีมาเป็นหลักพิพากษาคดีนี้หาได้ไม่โดยเหตุที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 บัญญัติว่า “คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่” พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทรายนี้เดิมเป็นของหลวงสุนทรธนผล

ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า อายุความฟ้องร้องคดีนี้มีเพียง 1 ปีคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าที่พิพาทนี้หลวงสุนทรธนผลได้ครอบครองทำที่ดินให้เป็นที่บ้านที่สวนมาก่อนประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 และพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 แล้ว แม้ที่ดินพิพาทจะเป็นที่ดินมือเปล่า ก็ต้องนำกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42มาใช้บังคับคดีโดยถืออายุความสละที่ดิน 9 ปี 10 ปี หาใช่อายุความ1 ปีดังจำเลยฎีกาไม่ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 759/2494 ระหว่างนายกอบ ตั๋นกันทะ โจทก์ นายส่างละ ละเผ่กับพวก จำเลยพิพากษายืนให้ยกฎีกาจำเลย ฯลฯ

Share