คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการว่า โจทก์ได้ด่าตนอย่างหยาบคาย โจทก์มีอาการคุ้มดีคุ้มร้าย ขืนเอาไว้ในราชการจะเสียหาย ถ้าปรากฏว่าข้อความที่จำเลยกล่าวว่าโจทก์ด่าจำเลยเป็นความจริง (เพราะได้มีการพิจารณาในศาล ๆ ฟังว่าโจทก์ด่าจำเลยจริง) แล้วก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้แสดงความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมในอันที่จะให้ผู้ที่ด่าจำเลยได้รับโทษ จึงไม่มีความผิด.

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร้ายต่อโจทก์ บังอาจสมคบกันเขียนจดหมายลงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๙๗ ยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จังหวัดพระนคร และผู้ว่าราชการภาค ๓ จังหวีดนครราชสีมา ใส่ความกล่าวหาโจทก์หลายประการ คือกล่าวหาว่าโจทก์ด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคาย ฯลฯ กับว่าโจทก์มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายไม่ควรให้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ จะเสื่อมเสียแก่วงราชการเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายจึงขอให้ศาลลงโทษ
ศาลได้ใต่สวนคดีของโจทก์แล้วสั่งว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฏีกา
ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลขั้นต้นฟังมาแล้วว่า เดิมโจทก์จำเลยต่างคนต่างด่าว่ากัน จำเลยจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์ด่าว่าจำเลย เห็นว่าโจทก์ได้ด่าจำเลย ๆ ก็ย่อมมีสิทธิที่จะร้องกล่าวโทษโจทก์ เพื่อให้ผู้ด่าจำเลยรับโทษได้ เมื่อเป็นความจริงก็ถือว่า จำเลยกล่าวแสดงไปโดยสุจริต ที่จำเลยกล่าวว่าโจทก์มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายก็เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเป็นข้อแสดงถึงเหตุที่โจทก์ด่าจำเลยนั้นเอง การกระทำของจำเลยต้องตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๓๒๙(๑) ซึ่งผู้ทำไม่มีผิด เหตุฟ้องจึงไม่มีมูล จึงพิพากษายืน

Share