คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1751/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สโมสรนายทหารกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 1 ตั้งสวัสดิการเงินกู้ขึ้น ดำเนินงานโดยคณะกรรมการซึ่งผู้บังคับการเป็นผู้แต่งตั้งตามตำแหน่งงานของหน่วย ผลัดเปลี่ยนกันไปโดยอยู่ในความควบคุมดูแลของผู้บังคับการ ทุนของสวัสดิการเงินกู้ได้มาจากเงินของหน่วยงานกับเงินของข้าราชการที่เป็นสมาชิกสโมสรนำมาฝาก ปี พ.ศ.2514 จำเลยที่ 1 มาดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองรบพิเศษฯ แห่งนี้ ได้เป็นประธานกรรมการสวัสดิการเงินกู้โดยตำแหน่ง ครั้นปี พ.ศ.2516 จำเลยที่ 1 ไปราชการ ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรองผู้บังคับการเป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ และจำเลยที่ 5 คงเป็นกรรมการและผู้จัดการตาม เดิมต่อไป โจทก์นำเงินเข้าฝากไว้ในสวัสดิการเงินกู้เป็นจำนวน 230,000 บาทสวัสดิการเงินกู้ไม่จ่ายเงินปันผลให้โจทก์ โจทก์จึงเรียกเงินฝากคืนพร้อมทั้งเงินปันผล เช่นนี้ สวัสดิการเงินกู้นี้มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล การดำเนินงานทั้งหลายจึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้ได้รับแต่งตั้งดังปรากฏตามระเบียบว่าด้วยเงินกู้ แม้คณะกรรมการนี้จะมีการแต่งตั้งเปลี่ยนกันไปหลายครั้งตามตำแหน่งนับแต่เริ่มตั้งสวัสดิการเงินกู้จนปัจจุบัน ก็ต้องถือว่าคณะกรรมการใหม่ยอมรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดจากคณะกรรมการชุดเดิมที่ดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ไว้ จะยกข้ออ้างว่าตนเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและไม่ได้รับมอบหมายการงานหาได้ไม่ จำเลยที่ 5 รับเงินจากโจทก์ไว้ในนามของคณะกรรมการซึ่งกรรมการอื่นต้องร่วมรับผิดในเงินฝากของโจทก์ด้วยและเป็นนิติสัมพันธ์ทางสัญญาตามกฎหมาย ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 พ้นจากตำแหน่งกรรมการสวัสดิการเงินกู้ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ไม่เป็นผลลบล้างอำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่เดิมให้หมดไป สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อจำเลยที่ 1 เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการ จำเลยที่ 1 ก็เข้าเป็นประธานกรรมการดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ต่อมา แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะไปราชการและแต่งตั้งคณะกรรมการสวัสดิการเงินกู้ขึ้นใหม่คือ จำเลยที่ 2 ถึงที่5แต่คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งนี้ยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม จำเลยที่1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อบุคคลภายนอกเช่นโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า สโมสรนายทหารกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 1 ได้จัดตั้งสวัสดิการเงินกู้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือข้าราชการในกองรบพิเศษฯ นำเงินของหน่วยเป็นทุนเริ่มต้นและเปิดโอกาสให้สมาชิกนำเงินมาฝากเป็นเงินทุน มีกรรมการดำเนินการให้สมาชิกกู้คิดผลประโยชน์ และแบ่งเงินปันผลให้แก่เจ้าของเงินจำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ จำเลยที่ 5เป็นผู้จัดการทั้งนี้อยู่ในความควบคุมดูแลของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บังคับการกองรบพิเศษฯ โจทก์ได้นำเงินฝากเพื่อเป็นทุนสวัสดิการเงินกู้ 4 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท ครั้นถึงกำหนดจ่ายเงินปันผล จำเลยทั้งห้าไม่จ่ายเงินปันผลให้โจทก์ โจทก์จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันคืนเงิน230,000 บาท พร้อมเงินปันผลให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การว่า โจทก์จะได้นำเงินมาฝากจำเลยที่ 5 ไว้จริงหรือไม่ไม่ทราบ หากนำมาฝากไว้เพื่อให้กู้ก็เป็นการส่วนตัวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 5 ไม่เกี่ยวกับสวัสดิการเงินกู้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เข้าเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ไม่เคยได้รับผลประโยชน์จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ไม่บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 รับผิดในฐานะอะไรเป็นฟ้องเคลือบคลุม

จำเลยที่ 5 ให้การว่า เงินของโจทก์ 230,000 บาทที่นำมาร่วมลงทุนให้กู้ จำเลยที่ 5 รับไว้ในฐานะกรรมการและได้จัดการให้กู้ไปกับจ่ายดอกเบี้ยในลักษณะเงินปันผลให้โจทก์ตลอดมา จำเลยที่ 5 ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการและได้มอบหลักฐานต่าง ๆ ให้กรรมการชุดใหม่เรียบร้อย จำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์นำเงินมาลงทุนให้กู้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ผู้กู้บางรายตายไปเป็นหนี้สูญ โจทก์ไม่มีอำนาจเรียกคืนจากจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันคืนเงิน 230,000 บาทแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 5 คำขอนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่าสวัสดิการเงินกู้รายนี้ได้มีการจัดตั้งขึ้นโดยที่ประชุมของสโมสรนายทหารกองรบพิเศษ (พลร่ม) ที่ 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางการเงินของข้าราชการในสังกัดให้ได้กู้ยืมเงินของสวัสดิการไปใช้โดยเสียดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าที่จะต้องเสียแก่ผู้ให้กู้ภายนอกการดำเนินงานของสวัสดิการเงินกู้กระทำโดยคณะกรรมการซึ่งผู้บังคับการเป็นผู้แต่งตั้งตามตำแหน่งงานของหน่วย ผลัดเปลี่ยนกันไปโดยอยู่ในความควบคุมดูแลของผู้บังคับการ ทุนของสวัสดิการเงินกู้ได้มาจากเงินของหน่วยงานกับเงินของข้าราชการที่เป็นสมาชิกสโมสรนำมาฝากและทางสวัสดิการเงินกู้ได้นำเงินดอกเบี้ยที่ได้จากการให้กู้มาจัดสรรแบ่งให้แก่เจ้าของเงินแก่หน่วยงานแก่คณะกรรมการดำเนินงานและแก่ผู้บังคับการ พ.ศ. 2514 จำเลยที่ 1 มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกองรบพิเศษฯ แห่งนี้ จำเลยที่ 1 ได้เป็นประธานกรรมการสวัสดิการเงินกู้โดยตำแหน่งครั้น พ.ศ. 2516 จำเลยที่ 1 ไปราชการปราบปรามผู้ก่อการร้ายได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นรองผู้บังคับการเป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการ และจำเลยที่ 5 คงเป็นกรรมการและผู้จัดการตามเดิมต่อไป สำหรับโจทก์เป็นผู้นำเงินเข้าฝากไว้ในสวัสดิการเงินกู้ตั้งแต่ พ.ศ. 2507 ถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2517 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาทซึ่งตามระเบียบว่าด้วยสวัสดิการเงินกู้ โจทก์จะได้รับเงินปันผลรายเดือนเดือนละ4,600 บาท แต่ทางสวัสดิการเงินกู้ไม่จ่ายเงินปันผลงวดเดือนธันวาคม 2517ให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามเรียกเงินฝากคืนพร้อมเงินปันผลรายเดือนที่ค้างจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้

ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เสียก่อนว่า จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ต้องร่วมกันรับผิดคืนเงินฝากให้แก่โจทก์หรือไม่ จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่าจำเลยทั้งสี่มิได้มีนิติสัมพันธ์ในทางใด ๆ กับโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่งมิได้รับมอบหมายงานสวัสดิการเงินกู้เพราะไม่ใช่งานของทางราชการและเมื่อจำเลยที่ 1 ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นกรรมการแล้ว จำเลยที่ 1มิได้เป็นกรรมการอีกส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ก็มิได้รับมอบงาน การดำเนินงานสวัสดิการเงินกู้เป็นเรื่องของจำเลยที่ 5 กระทำแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สวัสดิการเงินกู้นี้มิได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย การดำเนินงานทั้งหลายจึงอยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการผู้ได้รับแต่งตั้งดังปรากฏตามสำเนาระเบียบว่าด้วยเงินกู้ ฉบับลงวันที่29 เมษายน 2507 ข้อ 9 ว่า “การปฏิบัติการใด ๆที่นอกเหนือจากระเบียบนี้คณะกรรมการเป็นผู้พิจารณาและรับผิดชอบทั้งสิ้น”แม้คณะกรรมการนี้จะมีการแต่งตั้งเปลี่ยนกันไปหลายครั้งตามตำแหน่งนับแต่เริ่มตั้งสวัสดิการเงินกู้จนปัจจุบันก็ต้องถือว่าคณะกรรมการใหม่ยอมรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดจากคณะกรรมการชุดเดิมที่ดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ไว้ จะยกข้ออ้างที่ว่าตนเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและไม่ได้รับมอบหมายการงานหาได้ไม่ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้ว่าโจทก์ได้นำเงินเข้าฝากไว้ในสวัสดิการเงินกู้หลายครั้งนับแต่ พ.ศ. 2507 เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม 2517 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 230,000 บาท ตามใบรับเงินเอกสารหมาย จ.2 โดยจำเลยที่ 5เป็นกรรมการและผู้จัดการของสวัสดิการเงินกู้เป็นผู้ลงลายมือชื่อรับไว้ตามที่ปฏิบัติกันมา ถือได้ว่าจำเลยที่ 5 กระทำในนามของคณะกรรมการซึ่งกรรมการอื่นต้องร่วมรับผิดในเงินฝากของโจทก์ด้วย และเป็นนิติสัมพันธ์ทางสัญญาตามกฎหมาย และการที่โจทก์นำเงินเข้าฝากไว้ไม่มีกำหนดระยะเวลาถอนคืน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกคืนได้เมื่อทวงถาม ความปรากฏว่าโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ผู้เป็นคณะกรรมการรับผิดชอบการดำเนินงานของสวัสดิการเงินกู้อยู่ให้คืนเงินจำนวนนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่คืนให้ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ได้ ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อ้างว่าระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้พ้นจากตำแหน่งกรรมการสวัสดิการเงินกู้นั้น เห็นว่าไม่เป็นผลลบล้างอำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่โดยชอบให้หมดไปจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่าสวัสดิการเงินกู้เป็นสวัสดิการของหน่วยงานเมื่อจำเลยที่ 1เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บังคับการ พ.ศ. 2514 จำเลยที่ 1 ก็เข้าเป็นประธานกรรมการดำเนินการสวัสดิการเงินกู้ต่อมา แม้ในปี พ.ศ. 2516 จำเลยที่ 1 จะไปราชการปราบปรามผู้ก่อการร้ายและแต่งตั้งคณะกรรมการสวัสดิการเงินกู้ขึ้นใหม่คือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 แต่คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งนี้ยังคงอยู่ในความควบคุมดูแลรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 เช่นเดิม ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ต่อบุคคลภายนอกเช่นโจทก์ผู้ได้รับความเสียหายด้วย

พิพากษายืน

Share