คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15508/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ถือว่าศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานอย่างเจ้าพนักงานทั่วไป การที่จำเลยทั้งสองกับพวกยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในคดีส่วนแพ่งอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งในศาล จึงมิใช่เป็นเรื่องการแจ้งความแก่เจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เข้าลักษณะความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา 137

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า เดิมพนักงานอัยการคดีศาลแขวงนครราชสีมา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง โดยมีโจทก์เป็นโจทก์ร่วม วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง แต่ให้จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันคืนเงิน 2,400,000 บาท แก่โจทก์ร่วม (โจทก์ในคดีนี้) ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5463/2551 ของศาลชั้นต้น ระหว่างอุทธรณ์ วันที่ 14 สิงหาคม 2551 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีส่วนแพ่งต่อศาลชั้นต้น ที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องว่า การที่จำเลยทั้งสองกับพวกยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในคดีส่วนแพ่ง เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่ศาลซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ทำให้ศาลและโจทก์ได้รับความเสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 นั้น เห็นว่า การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาล ถือว่าศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานอย่างเจ้าพนักงานทั่วไป การที่จำเลยทั้งสองกับพวกยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในคดีส่วนแพ่ง อันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งในศาล จึงมิใช่เป็นเรื่องการแจ้งความแก่เจ้าพนักงาน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เข้าลักษณะความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์
พิพากษายืน

Share