แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการ ได้แจ้งข่าวการประชุมของสมาคมธนาคารไทย จำเลยที่ 1 ตามมติของที่ประชุม โดยทำเป็นหนังสือเวียนลับเฉพาะถึงสมาชิก แจ้งให้ทราบถึงพฤติการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไปขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารสมาชิกแล้วไม่มาติดต่อขอรับเอกสารไปรับของทำให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหาย โดยในหนังสือเวียนได้ระบุชื่อกลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีชื่อโจทก์รวมอยู่ด้วย เพื่อมิให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหายดังที่มีมาอีก เช่นนี้ ถือได้ว่าการแจ้งข่าวดังกล่าวเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 329
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ประเภทสมาคมการค้า มีธนาคารพาณิชย์เป็นสมาชิก จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ ได้ประชุมสมาชิกแล้วจำเลยที่ 2บันทึกรายงานการประชุมเกี่ยวกับเรื่องแก๊งค์ต้นมนุษย์ว่า มีบุคคลคณะหนึ่งตั้งเป็นแก๊งค์มีพฤติการณ์หลอกลวง โดยบุคคลเหล่านี้จะมาติดต่อกับธนาคารในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต โดยวางเงินมัดจำให้ธนาคารไว้ระหว่างร้อยละ 10 ถึง 15 ของจำนวนเงิน โดยตีราคาสินค้าสูงกว่าความจริงประมาณ 2 – 4 เท่าตัว เมื่อธนาคารเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและได้รับเอกสารมาแล้ว ก็ไม่มีการติดต่อขอรับเอกสารไปรับของ เพราะของที่สั่งมาไม่เป็นไปตามเลตเตอร์ออฟเครดิต หากธนาคารจะนำเอกสารไปออกของก็ไม่คุ้มกัน ได้มีการแจ้งระบุชื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดให้ที่ประชุมทราบ ที่ประชุมมีมติให้ออกหนังสือเวียนให้สมาชิกทราบ โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาก็มีชื่อในหนังสือเวียนนั้น จำเลยทั้งสองได้จัดส่งหนังสือไปยังธนาคารพาณิชย์ที่เป็นสมาชิกว่าโจทก์เป็นบุคคลในแก๊งค์ต้มมนุษย์ มีความหมายได้ชัดเจนว่าโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลหลายแห่งเป็นคนหลอกลวงคนทั่วไป ไม่ควรคบและสมาคมติดต่อด้วย เป็นการเหยียดหยามโจทก์ ทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 326, 328 กับให้ทำลายต้นฉบับรายงานการประชุมของสมาคมธนาคารไทย ครั้งที่ 20 ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2512 เกี่ยวกับแก๊งค์ต้มมนุษย์ ให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาของศาลในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่า 4 ฉบับ ติดต่อกันมีกำหนด 5 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า หนังสือที่แจ้งไปออกตามมติที่ประชุมเอกสารท้ายฟ้องได้แสดงโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเกี่ยวกับส่วนได้เสียตามทำนองคลองธรรม เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม จำเลยขอพิสูจน์ความจริงต่อศาลว่าข้อความที่กล่าวนั้นเป็นความจริง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ และการที่จำเลยที่ 2 มีหนังสือเวียนไปนั้น มิได้มีเจตนาแพร่หลาย ได้กระทำไปโดยสุจริตเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความเพื่อป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรม มิได้มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่มีความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยที่ 2 มีหนังสือเวียนถึงธนาคารสมาชิกตามมติที่ประชุม ไม่เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ไม่เป็นการป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตน ตามคลองธรรม
ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสมาคมธนาคารไทยจำเลยที่ 1มีนายบรรเจิด ชลวิจารณ์ เป็นประธานกรรมการและในการประชุมมีนายจำรัสจตุรภัทร เป็นประธานที่ประชุมสมาชิกสมาคม จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ ที่ประชุมมีมติให้จำเลยที่ 2 แจ้งเรื่องให้สมาชิกธนาคารทราบว่ามีกลุ่มบุคคลหนึ่งที่เป็นหุ้นส่วนหรือหุ้นส่วนผู้จัดการ ไปขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตจากธนาคารเพื่อสั่งของเข้ามาโดยวางเงินมัดจำไว้เล็กน้อย แต่ตีราคาของที่สั่งเข้ามาสูง เมื่อของที่สั่งเข้ามาไม่เป็นไปตามเลตเตอร์ออฟเครดิต บุคคลนั้นก็ไม่มาติดต่อขอรับเอกสารไปรับของ ธนาคารจะนำเอกสารไปออกของมาขายก็ไม่คุ้มกัน ทำให้ธนาคารเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก ที่ประชุมมีมติให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการแจ้งชื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้ให้สมาชิกทราบ โจทก์เป็นหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนหนึ่งที่มีพฤติการณ์เช่นนี้และถูกระบุชื่อในหนังสือเวียนที่ลับเฉพาะไปถึงธนาคารสมาชิกตามเอกสารท้ายฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ได้แจ้งข่าวการประชุมของสมาชิกในฐานะเลขาธิการตามมติของที่ประชุม ตามเรื่องราวที่ได้ประชุมกันถึงพฤติการณ์ที่ทำให้สมาชิกได้รับความเสียหาย และได้แจ้งเป็นหนังสือเวียนลับเฉพาะไปถึงแต่สมาชิกของธนาคาร มิให้ธนาคารสมาชิกได้รับความเสียหายดังที่มีมาอีกเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
พิพากษายืน