แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานของคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบ แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษาจำเลยมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งได้ (มีคำสั่งวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 นัดฟังคำพิพากษา 30 พฤษภาคม 2518) แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ได้
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้ครอบครองที่พิพาทแต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำเลยรอนสิทธิโจทก์โดยเข้าครอบครองปลูกเล้าไก่ในที่ดินดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิขอให้จำเลยรื้อถอนเล้าไก่ออกไป ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาท ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยไม่มีอำนาจฟ้อง
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบตัวโจทก์ได้ไม่จบปาก แล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากจำเลย โจทก์ และโจทก์ร่วม เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานแล้วพิพากษาให้ จำเลยออกไปจากที่พิพาท ให้รื้อถอนเล้าไก่ ห้ามเกี่ยวข้องต่อไปกับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้สืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป หรือพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2518 มาตรา 6 จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไม่ชอบ ขอให้สั่งศาลชั้นต้นสืบพยานของคู่ความต่อไปเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานของคู่ความเมื่อสืบตัวโจทก์ยังไม่จบแล้วสอบถามข้อเท็จจริงจากคู่ความและพิพากษาคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงตามที่ได้ความ ถือไม่ได้ว่าเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ซึ่งถือว่าไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 เมื่อจำเลยเห็นว่า ชอบที่จะให้มีการสืบพยานต่อไป ก็ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ คดีปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2518 และนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 พฤษภาคม 2518 โดยที่จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้และระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานถึงวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยมีโอกาสที่จะโต้แย้งคำสั่งได้แต่หาได้โต้แย้งไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนี้ได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เห็นว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ที่จำเลยปลูกเล้าไก่คือที่พิพาท ที่พิพาทเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์เช่าที่พิพาทจากโจทก์ร่วม ดังนั้น แม้โจทก์จะยังไม่ได้เข้าครอบครองที่พิพาท แต่โจทก์ได้เรียกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมมีอำนาจฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำละเมิดอย่างไร โจทก์และโจทก์ร่วมเสียหายอย่างไร โจทก์เช่าที่ทั้งหมดค่าเช่าเพียงปีละ 695 บาท ค่าเสียหายไม่ถึง1,000 บาท อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย เห็นว่าเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดแล้วในสำนวน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้น
พิพากษายืน