แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากห้างหุ้นส่วนจำกัด น.ไปใช้โดยให้ ช. ลูกจ้างของตนเป็นคนขับ และห้างหุ้นส่วนจำกัด น. นำรถยนต์ดังกล่าวไปประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 2 กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า ‘บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายและบริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัย เสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง’ ดังนี้ การที่ ช. ขับรถไปทำละเมิดต่อโจทก์ ต้องถือว่า ช.ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัด น. ผู้เอาประกันภัย มีฐานะเสมือนผู้เอาประกันภัยเอง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ หมายเลขทะเบียน น.ว.๑๐๕๑๓ มีนายเทพ ลูกจ้างเป็นคนขับ โจทก์ที่ ๒ เป็นนิติบุคคลได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวของโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๓ เป็นมารดาของนายเทพ จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ หมายเลขทะเบียน ก.จ.๐๖๐๗๘ มีนายชัยทรัพย์ลูกจ้างเป็นคนขับ จำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ หมายเลขทะเบียน น.ว.๑๑๗๕๕ มีนายกว้างเป็นคนขับ จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคล ได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๐ นายชัยทรัพย์ลูกจ้างได้ขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ไปตามถนนสายเอเซียจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดนครสวรรค์ เมื่อไปถึงหลักกิโลเมตรที่ ๑๗๕ – ๑๗๖ อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ได้มีรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ โดยนายกว้างเป็นคนขับแล่นสวนทางมา และด้วยความประมาทของคนขับรถทั้งสองคัน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันล้ำเส้นแบ่งกลางถนนและชนกันอย่างแรง รถของจำเลยที่ ๓ ส่ายไปมาและกระสอบข้าวสารที่รถของจำเลยที่ ๓ บรรทุกอยู่กระเด็นไปถูกหน้ารถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ที่ขับตามรถจำเลยที่ ๑ และเป็นเหตุให้รถของโจทก์ที่ ๑ เสียหลักตกถนนพลิกคว่ำโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายจากสินค้าที่บรรทุกและสิ่งของ ค่าขาดประโยชน์และค่ารถเสื่อมราคา เป็นเงิน ๗๗,๔๕๕ บาท โจทก์ที่ ๒ ซ่อมรถโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย เสียค่าซ่อมและค่าลากรถ เป็นเงิน ๕๓,๙๘๙ บาท โจทก์ที่ ๓ ซึ่งเป็นมารดาได้จัดการศพและเสียหายจากการขาดไร้อุปการะเป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท ซึ่งจำเลยทั้งสี่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เหตุคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทของคนขับรถของจำเลยที่ ๑ หากแต่เกิดจากความประมาทของคนขับรถจำเลยที่ ๓ ที่ขับล้ำเส้นแบ่งกลางถนนมาชนรถจำเลยที่ ๑ ค่าเสียหายไม่เท่าที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ รับประกันภัยรถยนต์จำเลยที่ ๑ ไว้จริง แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเพราะเหตุคดีนี้มิได้เกิดจากความประมาทของคนขับรถจำเลยที่ ๑ หากแต่เกิดจากความประมาทของคนขับรถของจำเลยที่ ๓ ตามกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดแทนผู้เอาประกัน แต่โจทก์มิได้ฟ้องผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายสูงเกินไป ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถจำเลยที่ ๑ และคนขับรถของโจทก์ที่ ๑ นายเทพ ไม่ใช่บุตรของโจทก์ที่ ๓ ค่าเสียหายสูงเกินไป ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า ได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ จริง แต่เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถจำเลยที่ ๑และคนขับรถโจทก์ที่ ๑ มิใช่เกิดจากความประมาทของคนขับรถของจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องรับผิด ค่าเสียหายสูงเกินไปฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๕๔,๔๕๕ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๔๔,๑๐๐บาท แก่โจทก์ที่ ๓ เป็นเงิน ๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสาม ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ และที่ ๔
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ และรถดังกล่าวเกิดเหตุในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย และคนขับรถจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายประมาทและทำละเมิดตามฟ้องแม้ห้างหุ้นส่วนจำกัด นครปฐมยนตรกาญจน์จะเป็นผู้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๒ และมีข้อสัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๒.๓ ว่า บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย เมื่อผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย แต่ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว ข้อ ๒.๗ มีข้อความว่า บริษัทจะถือบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งกรณีนี้เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวและนำรถยนต์คันนั้นไปใช้โดยให้นายชัยทรัพย์ลูกจ้างของตนเป็นคนขับ แล้วเกิดเหตุคดีนี้ จึงต้องถือว่านายชัยทรัพย์ขับรถโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดนครปฐมยนตรกาญจน์และมีฐานะเสมือนผู้เอาประกันภัยเองตามข้อ ๒.๗ เมื่อนายชัยทรัพย์ขับรถโดยประมาททำละเมิดจนเกิดความเสียหายขึ้น ก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ เพียงแต่ไม่ได้ถูกฟ้องมาด้วยเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดในฐานะนายจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ และจำเลยที่ ๒ ก็ต้องรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยดังวินิจฉัยมาแล้ว
พิพากษายืน