คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนอาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537, 546 และ 552 ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการรับขนส่งคนโดยสารรับจ้างโดยใช้รถยนต์โดยสารปรับอากาศ เจ้าพนักงานประเมินได้ทำการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าในรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๑๗ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๑๙ ของโจทก์เป็นเงิน ๒๒๔,๐๔๙ บาท ๑๐ สตางค์ โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์มิได้มีอาชีพและมีเงินได้จากการให้เช่ารถทัศนาจร ความจริงโจทก์ประกอบการค้าโดยใช้รถทัศนาจร รับส่งคนโดยสารจากสถานีแห่งหนึ่ง ไปยังอีกแห่งหนึ่ง หรือรับส่งทั้งเที่ยวไปและกลับ โดยมิได้มีการกำหนดเวลาแน่นอน แต่ยึดถือระยะทางและสถานที่เป็นสำคัญ โจทก์มีคนขับรถและเด็กประจำรถเป็นลูกจ้างประจำ โจทก์รับผิดชอบต่อผู้โดยสารทุกครั้ง ค่าจ้างรับส่งตกลงกันเป็นเที่ยว ๆ โดยขึ้นอยู่กับระยะทางใกล้ไกล คิดค่าจ้างเหมาคัน ผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดชอบค่าน้ำมัน เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงคนขับและเด็กประจำรถ การค้าของโจทก์เข้าลักษณะประกอบการค้าประเภท ๘ คือการขนส่งซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีการค้าขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสี่
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าให้เช่ารถยนต์โดยสาร (รถยนต์ทัศนาจร) อันเป็นการประกอบการค้า ประเภทการค้า ๕ การให้เช่าทรัพย์สินก็มิใช่อสังหาริมทรัพย์แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด โจทก์มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการค้าและเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ ๒.๕ ของรายรับ แต่โจทก์มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีการค้าดังกล่าว เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินเรียกเก็บภาษีการค้าจากโจทก์ โจทก์มีรายรับจากค่าเช่ารถเพียงประเภทเดียวหาใช่ค่าจ้างเหมาคันไม่ แต่เป็นค่าเช่าที่ได้รับจากผู้เช่า โดยโจทก์ได้เรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าโดยตรง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนดังเช่นกรณีนี้ อาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๓๗, ๕๔๖ และ ๕๕๒ ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ส่งมอบทรัพย์ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น ข้อเท็จจริงที่จะวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารตามที่ตกลงกับบริษัทท่องเที่ยวและร้านค้าเป็นการเช่ารถยนต์หรือไม่ คงมีอยู่ตามข้อนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งแต่เพียงว่า โจทก์ไม่ได้ให้เช่ารถยนต์ โดยผู้เช่าเอารถไปใช้เองตามใจชอบแต่เป็นการที่มีผู้มาจ้างเหมารถไปเป็นครั้งคราวเพื่อรับคนโดยสารไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งตามอัตราจำนวนเงินที่โจทก์กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นการแน่นอน ผู้ว่าจ้างจะเอารถเลยไปยังที่แห่งอื่นไม่ได้ และโจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วยตามที่โจทก์จำเลยนำสืบไม่ปรากฏว่า บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าซึ่งเป็นคู่สัญญาของโจทก์มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ถือว่ากิจการค้าของโจทก์เป็นการให้เช่ารถ ก็โดยถือเอาตามความเข้าใจของตน ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้จากพยานหลักฐานของโจทก์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่โจทก์ให้คนขับรถและคนประจำรถไปกับรถของโจทก์นั้น ย่อมแสดงว่าโจทก์ให้คนของโจทก์ควบคุมรถไปด้วย โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าคู่สัญญาของโจทก์นำรถไปใช้ตามลำพังและคู่สัญญาของโจทก์จะนำรถไปสถานที่อื่นก็ไม่ได้ สัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าจึงหาเป็นสัญญาเช่าไม่ หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่าเป็นการให้เช่ารถยนต์ เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าดังกล่าวไม่เป็นสัญญาเช่าตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าวว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ว่าเป็นสัญญาเช่า ก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใดไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๗๑/๒๕๑๕ บริษัทอโศกมอเตอร์ จำกัด โจทก์ กรมสรรพากร กับพวก จำเลย ที่จำเลยอ้างในคำแก้ฎีกาข้อเท็จจริงหาตรงกับคดีนี้ไม่
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share