คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14861/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระบุราคาทรัพย์สินเป็นเงิน 399,000 บาท ผู้ร้องอ้างว่าชำระราคาให้จำเลยครบตั้งแต่ปี 2543 โดยมีสำเนาใบเสร็จรับเงินมาแสดงเป็นหลักฐาน แต่เอกสารดังกล่าวมีรายการชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 27 กันยายน 2541 และมียอดเงินที่ชำระเพียง 64,000 บาท ส่วนที่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตั้งแต่ปี 2541 ก็เป็นการเข้าครอบครองทรัพย์สินก่อนเวลาที่ผู้ร้องอ้างว่าชำระราคาเสร็จสิ้นเมื่อปี 2543 จึงมิใช่พฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าผู้ร้องปฏิบัติการชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องเคยเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบไม่มีน้ำหนักรับฟังว่า ผู้ร้องชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยครบตามสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผู้ร้องยังไม่ชำระหนี้ของตนจึงไม่มีสิทธิขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้ตอบแทนด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามสัญญา ทั้งกรณีตามคำร้องเป็นการขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการโอนทรัพย์สินโดยทางนิติกรรม คดีจึงไม่มีประเด็นว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นการได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครอง ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยและมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินดังกล่าวให้ผู้ร้องจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจำเลยให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยปลอดจำนอง ผู้คัดค้านที่ 1 เห็นว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทกับจำเลยเมื่อปี 2540 โดยอ้างว่าชำระราคาครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินให้ผู้ร้องเป็นการผิดสัญญา แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปฏิบัติตามสัญญาเกิน 10 ปี นับแต่จำเลยผิดสัญญา จึงขาดอายุความ ประกอบกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทติดจำนอง ผู้คัดค้านที่ 2 การโอนทรัพย์สินให้แก่ผู้ร้องโดยปลอดจำนองย่อมมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่กองทรัพย์สินของจำเลยพึงจะได้ จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 หรือ 300 หรือโฉนดที่ดินรวมเลขที่ 99712 หรือ 67430 ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 3/75 หมู่ที่ 5 โครงการปทุมแลนด์ รังสิตคลองสอง จากจำเลย ในราคา 399,000 บาท โดยชำระราคาครบตั้งแต่ปี 2543 การบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นสิทธิตามสัญญาที่ผู้ร้องจะได้รับ มิใช่สิทธิของจำเลย ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีอำนาจปฏิเสธที่จะไม่ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายโดยปลอดจำนอง
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทกับจำเลยเมื่อปี 2540 โดยอ้างว่าชำระราคาครบถ้วนตั้งแต่ปี 2543 แต่ไม่มีหลักฐานการชำระราคา สัญญาจะซื้อจะขายกำหนดเวลาชำระราคาและโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 570 วัน นับแต่วันทำสัญญา ซึ่งครบกำหนดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2541 จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินตามกำหนดถือว่าผิดสัญญาตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2541 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาวันที่ 29 ตุลาคม 2552 เกิน 10 ปี นับแต่ผิดสัญญา จึงขาดอายุความและการขอให้โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งติดจำนองโดยปลอดจำนอง ถือเป็นกรณีที่ทรัพย์สินมีภาระเกินควรกว่าประโยชน์ที่กองทรัพย์สินของจำเลยพึงจะได้ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องของผู้ร้องไม่ระบุให้ชัดแจ้งว่า ที่ดินแปลงที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยเป็นที่ดินแปลงใด จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดธัญบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ส.245/2549 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 สิทธิของผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายเป็นบุคคลสิทธิไม่อาจอ้างยันผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งรับจำนองทรัพย์สินดังกล่าวโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทครบถ้วนแล้วและผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จึงมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 โดยให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 3/75 หมู่ที่ 5 โครงการบ้านทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว ซอยบงกช 29 ถนนเลียบคลองสอง ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 เนื้อที่ 17.75 ตารางวา ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ให้แก่ผู้ร้อง โดยติดจำนองผู้คัดค้านที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งว่า ผู้ร้องและจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2298 ตำบลคลองสอง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พร้อมบ้านเลขที่ 3/75 หมู่ที่ 5 โครงการบ้านทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวในราคา 399,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2539 จำเลยได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ออมทรัพย์ จำกัด และศาลจังหวัดธัญบุรีพิพากษาเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 ให้บังคับจำนองตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ส.245/2549 ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ออมทรัพย์ จำกัด ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 และได้รับอนุญาตให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวแล้ว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องและผู้คัดค้านที่ 1 ว่า คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่แก้ไขคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทครบถ้วน ผู้คัดค้านที่ 1 มีหน้าที่ต้องชำระหนี้จำนองของทรัพย์สินแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องโดยปลอดภาระผูกพัน ส่วนผู้คัดค้านที่ 1 อุทธรณ์โต้แย้งว่า ผู้ร้องยังชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไม่ครบ การเข้าครอบครองทรัพย์สินของผู้ร้องเป็นการครอบครองแทนจำเลย ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ดังที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัย เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระบุราคาทรัพย์สินเป็นเงิน 399,000 บาท ผู้ร้องอ้างว่าชำระราคาให้จำเลยครบตั้งแต่ปี 2543 โดยมีสำเนาใบเสร็จรับเงินมาแสดงเป็นหลักฐาน แต่เอกสารมีรายการชำระครั้งสุดท้ายวันที่ 27 กันยายน 2541 และมียอดเงินที่ชำระเพียง 64,000 บาท ส่วนที่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตั้งแต่ปี 2541 ก็เป็นการเข้าครอบครองทรัพย์สินก่อนเวลาที่ผู้ร้องอ้างว่าชำระราคาเสร็จสิ้นเมื่อปี 2543 จึงมิใช่พฤติการณ์ที่บ่งชี้ว่าผู้ร้องปฏิบัติการชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว อีกทั้งไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ร้องเคยเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทแต่อย่างใด พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังว่า ผู้ร้องชำระราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่จำเลยครบตามสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผู้ร้องยังไม่ชำระหนี้ของตนจึงไม่มีสิทธิขอให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระหนี้ตอบแทนด้วยการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทตามสัญญา ทั้งกรณีตามคำร้องเป็นการขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการโอนทรัพย์สินโดยทางนิติกรรม คดีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโดยผลของกฎหมายหรือไม่ ที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยการครอบครอง แล้วมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินให้ผู้ร้อง จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) มาตรา 246 และ 247 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 28 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share