คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1456/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ต.กระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายที่คล้องไว้ที่ไหล่ขณะเกินอยู่บนทางเท้า เมื่อผู้เสียหายกับพวกร้องขอความช่วยเหลือและวิ่งไล่ตาม ต . วิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามและโยนกระเป๋าทิ้งกลางถนน แล้วขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่หลบหนีไป ดังนี้ ต.มิได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่จะเป็นองค์ประกอบให้เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ รูปเรื่องเป็นเรื่อง ต.ใช้กิริยาฉกฉวยเอากระเป๋าบรรจุทรัพย์ของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ หากแต่โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายตี๋ แซ่ฉั่ว มีปืนพกและมีมีดพกเป็นอาวุธ ได้ร่วมกันชิงทรัพย์กระเป๋าถือผู้หญิงและเงินของผู้เสียหาย โดยใช้กำลังกายประทุษร้ายกระชากเอาทรัพย์ดังกล่าว และใช้ปืนยิงทำร้ายร่างกายตำรวจซึ่งเข้าจับกุม โดยจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙,๓๔๐ ตรี, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔,๑๕ และให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่เจ้าของ ของกลางนอกนั้นขอให้ริบ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖,๘๓ ให้จำคุก ๕ ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลย ๓ ปี ๔ เดือน คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่เจ้าของ ของกลางนอกนั้นริบ คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ วรรคสอง , ๓๓๖ ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๓ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฎีกาในข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า คือเกิดเหตุ เวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษ นายตี๋ แซ่ฉั่ว เป็นคนร้ายกระชากกระเป๋าถือของผู้เสียหายที่คล้องไว้ที่ไหล่ซ้ายไปในขณะที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นสตรีชาวออสเตรเลียกำลังเดินอยู่กับสามีและพี่ชายซึ่งเป็นชนชาติเดียวกันบนทางเท้าถนนสุรวงศ์ฝั่งโรงแรมเชอราตัน ผู้เสียหายกับพวกได้ร้องขอความช่วยเหลือและวิ่งไล่ตาม นายตี๋ได้วิ่งข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามและโยนกระเป๋าทิ้งกลางถนน แล้วขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่หลบหนีไป พอดีร้อยตำรวจสุรัตน์กับพวกซึ่งเป็นตำรวจสายตรวจนั่งขับรถยนต์เก๋งออกตรวจท้องที่มาประสบเหตุ จึงขับรถชนรถจักรยานยนต์ของจำเลยล้มลง รถจักรยานยนต์ทับขาของจำเลยบาดเจ็บ จึงจับจำเลยได้ ส่วนนายตี๋หลบหนี้เข้าไปในตรอกตันและยิงต่อสู้กับตำรวจ ผลที่สุดถูกตำรวจยิงตาย
คดีมีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ของผู้เสียหาย เพราะนายตี๋ได้ใช้กำลังกระชากแย่งกระเป๋าบรรจุทรัพย์ไปเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายแล้ว หากจะฟังว่าเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ก็ลงโทษได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒
พิเคราะห์แล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่านายตี๋ได้ใช้กำลังกระชากกระเป๋าไปจากไหล่ของผู้เสียหาย แต่นายตี๋มิได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่จะเป็นองค์ประกอบให้เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ รูปเรื่องเป็นเรื่องนายตี๋ใช้กิริยาฉกฉวยเอากระเป๋าบรรจุทรัพย์ของผู้เสียหายไปซึ่งหน้าเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ หากแต่โจทก์มิได้บรรยายองค์ประกอบผิดฐานนี้มา และคำขอท้ายฟ้องก็มิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษในความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ คงลงโทษ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share