คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6487-6488/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่จะฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาจะต้องสาบานตัวด้วยตันเองจะมอบให้ผู้อื่นสาบานตัวแทนไม่ได้ เพราะการสาบานเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องกระทำด้วยตนเอง การที่ ส.ผู้รับมอบอำนาจสาบานตัวให้คำชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แทนจำเลยทั้งสามจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวนหนึ่งพร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ ๓ ร่วมรับผิดส่วนหนึ่งด้วย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันไถ่ถอนจำนองที่ดิน หากไม่ไถ่ถอนให้นำที่ดินจำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาชำระค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ และเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “ตามคำร้องของจำเลยยังไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยจะขออุธรณ์คดีอย่างคนอนาถาหรือขอขยายระยะเวลาการวางค่าธรรมเนียม ให้ยกคำร้อง หากจำเลยยังติดใจให้ทำมาใหม่ให้ชัดเจน” ต่อมาวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๙ จำเลยทั้งสามวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลชั้นต้นพร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์จำนวน ๔๐๐,๔๘๐ บาท ออกไปอีก ๑ เดือน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “จำเลยทราบคำพิพากษาของศาลเป็นเวลาเดือนหนึ่งแล้ว จึงน่าจะต้องเตรียมให้พร้อม ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามคำร้อง แต่เพื่อให้โอกาสแก่จำเลย จึงอนุญาตให้ขยายเวลาการวางเงินไปได้ ๗ วัน นับแต่วันนี้ หากครบกำหนดแล้วจำเลยยังนำเงินมาวางได้ไม่ครบ ให้ถือว่าจำเลยจงใจทิ้งอุทธรณ์” และวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๒๙ จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์อีก โดยขอขยายไปจนถึงวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๙ พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ โดยนายสุรยุทธ โคตระวีระผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยทั้งสามเข้าสาบานตัวให้คำชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียม ซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์ว่า “ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ” และสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ว่า “การสาบานตนเพื่อขอต่อสู้คดีอย่างคนอนาถา เป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยทั้งสาม ผู้รับมอบอำนาจจำเลยทั้งสามไม่อาจกระทำได้ จึงไม่รับคำร้อง”
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวโดยทำอุทธรณ์เป็นสองฉบับ แต่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรพิจารณาพิพากษารวมกัน
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษายืน หากจำเลยทั้งสามยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ให้นำเงินค่าธรรมเนียมที่เหลือทั้งหมดมาชำระต่อศาลชั้นต้น ภายในกำหนดสิบห้าวันนับจากวันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คืนค่าธรรมเนียมอุทธรณ์คำสั่งขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสองร้อยบาทแก่จำเลยทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในชั้นนี้ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามมอบอำนาจให้นายสุรยุทธ โคตระวีระ ดำเนินการต่อสู้คดีแทน เมื่อศาลชั้นพิจารณาพิพากษาแล้วนายสุรยุทธผู้รับมอบอำนาจและทนายความของจำเลยทั้งสามได้ยื่นอุทธรณ์ ต่อมานายสุรยุทธผู้รับมอบอำนาจได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์โดยนาสุรยุทธผู้รับมอบอำนาจ เข้าสาบานตัวชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้ แล้ววินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ในกรณีที่จำเลยทั้งสามขอฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาผู้รับมอบอำนาจเข้าสาบานตัวให้คำชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แทนจำเลยทั้งสามผู้มอบอำนาจได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคแรก ผู้ที่จะฟ้องอุทธรณ์อย่างคนอนาถาจะต้องสาบานตัวด้วยตนเองจะมอบให้ผู้อื่นสาบานตัวแทนไม่ได้เพราะการสาบานเป็น เรื่องเฉพาะตัวที่จะต้องกระทำด้วยตนเอง ฉะนั้น การที่นายสุรยุทธผู้รับมอบอำนาจสาบานตัวให้คำชี้แจงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แทนจำเลยทั้งสามจึงเป็นเป็นการไม่ชอบ ฎีกาจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามที่ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรม เนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์ต่อไปอีก ๑ เดือน เพราะการที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและให้จำเลยทั้งสามนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในระยะเวลา ๑๕ วัน นับจากวันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์อ้างว่ามีผลเป็นการขยายระยะเวลาให้จำเลยทั้งสามอยู่ในตัว จึงไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวนั้น เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่าการที่ศาลอุทธรณ์กำหนด ระยะเวลาให้จำเลยทั้งสามนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่เหลือทั้งหมดมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลา ๑๕ วัน นับจากวันทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากจำเลยทั้งสามยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ได้เอากำหนดระยะตามคำร้องของจำเลยทั้งสามขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์เป็นเวลา ๑ เดือน มาเป็นเกณฑ์ในการกำหนดระยะเวลา ๑๕ วันดังกล่าวด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่าศาลอุทธรณ์สั่งคืนค่าธรรมเนียมจำนวน ๒๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสามคลาดเคลื่อน เห็นว่าการดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจึงสั่งคืนเงินค่า ธรรมเนียมส่วนนี้จำนวน ๒๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสามนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว ส่วนค่าธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสามเสียอีก ๒๐๐ บาท นั้นเป็นค่าธรรมเนียมในการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องขยายระยะเวลาการวางเงินที่ไม่ได้สั่งคืนให้จำเลยทั้งสามจึง ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นสำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสามนอกจากนี้ไม่เป็นสาระ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสามฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ได้ว่างเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่เหลือทั้งหมดภายในเวลา ๑๕ วันตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดนั้น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงควรกำหนดระยะเวลาการวางเงินดังกล่าวใหม่
พิพากษายืน หากจำเลยทั้งสามยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ให้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่เหลือทั้งหมดมาวางต่อศาลชั้นต้นภายในเวลา ๑๕ วัน นับจากวันทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกาแทนโจทก์ ๑,๕๐๐ บาท

Share