คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1423/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมี ก. เป็นกรรมการเพียงคนเดียวก. จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีและแม้ว่าวัตถุประสงค์ของโจทก์จะไม่ได้ระบุว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดีแต่อำนาจในการฟ้องคดีแพ่งย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่งโจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้
โจทก์ระบุข้อหาหรือฐานความผิดว่าเอกเทศสัญญา และบรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องมีรายละเอียดว่าจำเลยมอบแม่พิมพ์ให้โจทก์ผลิตสินค้ากล่องพลาสติกรูปบ้าน รูปหุ่นยนต์ และรูปโทรศัพท์เป็นชุดโจทก์ผลิตสินค้าดังกล่าวให้จำเลยแล้ว และโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแม่พิมพ์ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ดังกล่าว ซึ่งจำเลยสามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์และต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ส่วนจะเข้าลักษณะข้อหาหรือฐานความผิดใดนั้น ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
แม่พิมพ์ที่จำเลยมอบให้โจทก์ผลิตสินค้ามีสภาพชำรุดบกพร่อง จำเลยยินยอมให้โจทก์นำช่างมาซ่อมได้เสียค่าซ่อมเป็นเงิน 103,000 บาท จำเลยชำระค่าซ่อมให้โจทก์แล้ว 87,500 บาท ค้างชำระอีก 15,500 บาท ซึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ แต่โจทก์เรียกร้องเงินในส่วนนี้เพียง 15,000 บาท ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าซ่อมแม่พิมพ์ที่ค้างเป็นเงิน 15,500 บาท จึงเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงใช้อำนาจตามมาตรา 142(5)ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขเสียให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2540 จำเลยว่าจ้างโจทก์ผลิตกล่องพลาสติกรูปบ้าน 73,000 ชุด รูปหุ่นยนต์ 110,592 ชุด รูปโทรศัพท์ 99,360 ชุด และวันที่ 16 มิถุนายน 2540 ว่าจ้างผลิตกล่องพลาสติกรูปเทปคาเซ็ทอีก 600,000 ชุดกำหนดส่งมอบภายใน 45 วัน โดยใช้แม่พิมพ์ของจำเลย แต่แม่พิมพ์ชำรุดบกพร่องจำเลยให้โจทก์จ้างช่างมาซ่อมแม่พิมพ์และจ่ายเงินค่าซ่อมไปก่อน ช่างซ่อมแม่พิมพ์เสร็จเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 และโจทก์จ่ายเงินค่าซ่อมไป 103,000 บาท จำเลยชำระค่าซ่อมให้โจทก์สองครั้งเป็นเงิน 87,500 บาท คงค้างอีก 15,500 บาท โจทก์ทยอยส่งมอบกล่องพลาสติกให้จำเลยดังนี้ ระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่ 22สิงหาคม 2540 ส่งมอบกล่องพลาสติกรูปบ้าน 73,800 ชุด เป็นเงิน 70,110 บาทระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2540 ส่งมอบกล่องพลาสติกรูปหุ่นยนต์ 131,165 ชุด เป็นเงิน 157,398 บาท ระหว่างวันที่ 4 มิถุนายน 2540 ถึงวันที่23 กรกฎาคม 2540 ส่งมอบกล่องพลาสติกรูปโทรศัพท์ 99,360 ชุด เป็นเงิน 109,296บาท และระหว่างวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2540 ส่งมอบกล่องพลาสติกรูปเทปคาเซ็ท 291,066 ชุด เป็นเงิน 174,639.60 บาท สำหรับกล่องพลาสติกรูปหุ่นยนต์ โจทก์ส่งมอบชิ้นส่วนที่เป็นแขน คอ และขาเกินไป 26,719 ชิ้น และกล่องพลาสติกรูปเทปคาเซ็ทส่งมอบชิ้นส่วนเกินไป 47,339 ชิ้น เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2540โจทก์วางบิลส่งของแจ้งให้จำเลยชำระเงินรวม 511,443.60 บาท แต่จำเลยไม่ชำระอ้างว่าโจทก์ต้องส่งมอบแม่พิมพ์คืนก่อน โจทก์จึงยึดหน่วงแม่พิมพ์ไว้ จำเลยต้องชำระค่าจ้าง 511,443.60 บาท ค่าซ่อมแม่พิมพ์ที่ค้างชำระ 15,000 บาท และค่าชิ้นส่วนกล่องพลาสติกรูปหุ่นยนต์กับรูปเทปคาเซ็ทที่ส่งเกินไป 17,177.75 บาท รวมเป็นเงิน543,621.35 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 543,621.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ขณะฟ้องนายกฤษพงษ์ แซ่ตั๊น ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจจึงไม่อาจแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีได้และโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดีโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องหน้า 1 ว่าเอกเทศสัญญา แต่ฟ้องหน้า 2และหน้า 3 กลับบรรยายว่าซื้อขายและจ้างทำของ จำเลยไม่อาจต่อสู้คดีได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยได้ว่าจ้างโจทก์ให้ผลิตสินค้าตามฟ้องจริง แต่โจทก์ส่งมอบสินค้าครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2540 ซึ่งช้ากว่ากำหนดตามสัญญาหลายวันทำให้จำเลยส่งมอบสินค้าและแม่พิมพ์ให้ลูกค้าของจำเลยไม่ทัน ลูกค้าของจำเลยยกเลิกการสั่งสินค้าจากจำเลย แม่พิมพ์ที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์เพื่อใช้ผลิตสินค้าไม่ได้ชำรุดบกพร่องและจำเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์ซ่อมแม่พิมพ์และทดรองจ่ายค่าซ่อมแม่พิมพ์ไปก่อน ชิ้นส่วนสินค้าที่โจทก์ส่งมอบเกินจำนวนไม่อาจใช้ประโยชน์ได้ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ราคาและจำเลยไม่เคยได้รับการบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 511,443.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินค่าซ่อมแม่พิมพ์จำนวน15,500 บาท รวมกับจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระ 511,443.60บาท แล้วเป็นเงิน 526,943.60 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบรับกันและข้อที่ไม่มีฝ่ายใดโต้เถียงในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ผลิตสินค้าตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.7 และ จ.4 หรือ ล.8 โดยจำเลยส่งมอบแม่พิมพ์12 อัน ให้โจทก์ใช้ผลิตสินค้าดังกล่าว โจทก์ผลิตสินค้าและส่งมอบสินค้าให้จำเลยแล้วตามสำเนาใบส่งของเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.11 (ต้นฉบับเอกสารหมาย ล.13ล.15 ล.17 และ ล.19) คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่ขอรับรอง ขณะโจทก์ฟ้องนายกฤษณพงษ์ แซ่ตั๊น ไม่ได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ดำเนินคดีนี้ โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดี การที่นายกฤษณพงษ์ฟ้องคดีนี้จึงขัดกับวัตถุประสงค์ของโจทก์นั้น ในข้อนี้โจทก์มีนายกฤษณพงษ์ แซ่ตั๊น กรรมการผู้จัดการของโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีกรรมการและวัตถุประสงค์ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ส่วนจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น เห็นว่า ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีนายกฤษณพงษ์ แซ่ตั๊นเป็นกรรมการเพียงคนเดียว ดังนั้น นายกฤษณพงษ์จึงมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์รวมทั้งมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีนี้ และแม้ว่าวัตถุประสงค์ของโจทก์จะไม่ได้ระบุว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดีก็ตาม แต่อำนาจในการฟ้องคดีแพ่งย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต่อไปมีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาหรือฐานความผิดว่าเอกเทศสัญญา แต่โจทก์บรรยายฟ้องต่อมาว่าจำเลยตกลงซื้อสินค้าจากโจทก์และบรรยายฟ้องแต่มาอีกว่าเป็นการจ้างทำของ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหา ไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะระบุข้อหาหรือฐานความผิดว่าเอกเทศสัญญาและโจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องมีรายละเอียดว่าจำเลยมอบแม่พิมพ์ให้โจทก์ผลิตสินค้ากล่องพลาสติกรูปบ้าน รูปหุ่นยนต์ และรูปโทรศัพท์เป็นชุด โจทก์ผลิตสินค้าดังกล่าวให้จำเลยแล้ว และโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแม่พิมพ์ให้จำเลย แต่จำเลยไม่ชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ให้โจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินค้าและค่าซ่อมแม่พิมพ์ดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ซึ่งจำเลยสามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์และต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ส่วนคำฟ้องของโจทก์จะเข้าลักษณะข้อหาหรือฐานความผิดใดนั้นศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น…

ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าช่างได้ซ่อมแม่พิมพ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 โจทก์จึงผลิตสินค้าให้จำเลยได้ แต่โจทก์ส่งสินค้าที่ผลิตให้จำเลยตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2540 ที่โจทก์อ้างว่าต้องซ่อมแม่พิมพ์จึงไม่เป็นความจริงนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าช่างได้ซ่อมแม่พิมพ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540 จึงผลิตสินค้าให้จำเลยได้โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า ช่างซ่อมแม่พิมพ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540เท่านั้น แม่พิมพ์มีทั้งหมด 12 อัน แม่พิมพ์สินค้าประเภทใดซ่อมเสร็จก่อน โจทก์ก็สามารถผลิตสินค้าและส่งมอบให้จำเลยก่อนได้ จึงไม่เป็นข้อขัดแย้งหรือมีพิรุธแต่อย่างใดข้อเท็จจริงฟังได้ว่า แม่พิมพ์ที่จำเลยมอบให้โจทก์ผลิตสินค้ามีสภาพชำรุดบกพร่องโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทราบและจำเลยยินยอมให้โจทก์นำช่างมาซ่อมแม่พิมพ์ดังกล่าวได้ค่าซ่อมแม่พิมพ์เป็นเงิน 103,000 บาท จำเลยชำระค่าซ่อมแม่พิมพ์ให้โจทก์แล้ว 87,500 บาท จึงคงเหลือค่าซ่อมแม่พิมพ์ที่จำเลยค้างชำระอีก 15,500 บาทซึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าโจทก์เรียกร้องเงินในส่วนนี้เพียง 15,000 บาท โดยมิได้แก้ไขคำฟ้องเสียให้ถูกต้องฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าซ่อมแม่พิมพ์ที่ค้างเป็นเงิน 15,500บาท จึงเกินคำขอ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบด้วยมาตรา 246 และ 247 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”

พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับค่าซ่อมแม่พิมพ์ให้จำเลยชำระเงิน 15,000 บาทแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share