คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1385/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขอรอการลงโทษ โดยอ้างว่าเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตและกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา หากต้องรับโทษจำคุกจะเป็นการตัดอนาคตในการรับราชการโดยเฉพาะในสถาบันที่ทรงความยุติธรรมที่จำเลยใฝ่ ฝันนั้น ปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยว่า ได้ทำสัญญาประกันตนเองไว้ต่อศาลชั้นต้น แล้วหลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามหมายเรียกจนกระทั่งศาลชั้นต้นต้องสั่งปรับตามสัญญาประกันและออกหมายจับ เมื่ออ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลยและออกหมายจับมารับโทษตามคำพิพากษาไว้จนจำเลยอื่นรับโทษจำคุกและพ้นโทษไปแล้วก็ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล ทั้งจำเลยได้ใช้ให้บุคคลอื่นกระทำความผิดด้วยการนำรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง 6,100 กิโลกรัม มาเดินบนทางหลวงแผ่นดิน เป็นการทำความเสียหายแก่ทางหลวงแผ่นดินและมีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติจำเลยเป็นคนมีความรู้ แต่ก็มิได้คำนึงถึงความสูญเสียของส่วนรวมดังกล่าว จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำเลย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้นำรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่ทางการกำหนดมาเดินบนทางหลวงแผ่นดินอันเป็นการฝ่าฝืนประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดินลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่๑ ได้ใช้จ้างวานจำเลยที่ ๑ ให้กระทำผิดดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๕๖,๘๓ ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน ลงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๔
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ลดโทษแล้วคงจำคุกคนละ ๑ เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับหรือรอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ กระทำผิดด้วยการนำรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินที่ทางการกำหนดถึง ๖,๑๐๐ กิโลกรัม มาเดินบนทางหลวงแผ่นดินจำเลยที่ ๒ อ้างว่าเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตและกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา หากต้องรับโทษจำคุกจะเป็นการตัดอนาคตในการรับราชการโดยเฉพาะในสถาบันที่ทรงความยุติธรรมที่จำเลยใฝ่ฝัน แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลว่าจะปฏิบัติตามนัดหรือหมายเรียกของศาลเมื่อศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ ๒ มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยกลับหลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษา จนกระทั่งศาลต้องสั่งปรับจำเลยที่ ๒ ผู้ทำสัญญาประกันตนเองและออกหมายจับและตั้งแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย และออกหมายจับจำเลยที่ ๒ มารับโทษตามคำพิพากษาจนกระทั่งจำเลยที่ ๑ ซึ่งรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พ้นโทษไปแล้วก็ยังไม่ได้ตัวจำเลยที่ ๒ มาศาล ทั้งน้ำหนักบรรทุกก็เกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง๖,๑๐๐ กิโลกรัม ซึ่งเป็นการทำความเสียหายแก่ทางหลวงแผ่นดินอันเป็นทางสัญจรไปมาของประชาชน มีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ จำเลยเป็นคนมีความรู้ แต่ก็มิได้คำนึงถึงความสูญเสียของส่วนรวมดังกล่าว จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ ๒
พิพากษายืน.

Share