คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5009/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายโดยจับมือและบีบคอขู่ไม่ให้ร้องเพื่อความสะดวกแก่การที่จะกระทำผิดในทางเพศ มิได้ประสงค์ต่อทรัพย์เมื่อผู้เสียหายหลบหนีจำเลยจึงเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท กระทงหนึ่งและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์คงเป็นความผิดต่อเสรีภาพ และความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ วรรคสอง ๓๔๐ ตรี ริบจักรยานยนต์ของกลางและให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ให้จำคุก ๑ ปี ลดโทษหนึ่งในสามคงจำคุก ๘ เดือนให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๕๐๐ บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นให้ยกและให้คืนรถจักรยานยนต์แก่เจ้าของ
โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบกับมาตรา ๓๔๐ ตรี ให้จำคุก ๑๕ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก ๑๐ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ขณะจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายและขู่เข็ญผู้เสียหายนั้น จำเลยไม่ได้กระทำเพื่อความสะดวกแก่การที่จะเอาทรัพย์ของผู้เสียหายหากแก่เพื่อความสะดวกแก่การที่จะกระทำผิดในทางเพศเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยจับมือและบีบคอผู้เสียหายขู่ไม่ให้ร้องนั้น เป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคแรกและเป็นความผิดฐานใช้กำลังทำร้ายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำดังกล่าวมาในฟ้องแล้ว ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ และเมื่อผู้เสียหายหลบหนีจำเลยได้เอาทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตเกิดขึ้นภายหลัง จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยอีกกระทงหนึ่ง ฯลฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคแรก และมาตรา ๓๙๑ ลงโทษตามมาตรา ๓๐๙ วรรคแรกซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๖ เดือนและมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ วรรคแรก จำคุก ๑ ปี รวมจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๑ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share