แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฝ่ายเดียว โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือดังกล่าวไม่มีผลให้มีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้ หรือสาระสำคัญอันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับโจทก์ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)ที่แก้ไขใหม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ วันที่4 เมษายน 2523 นับอายุความใหม่จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดียังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีท ซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้จึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์สาขาเยาวราชมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยทั้งสามทำหนังสือรับสภาพหนี้แล้วชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วน คงค้างชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยนับจากวันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายถึงวันก่อนฟ้องเป็นเงิน 8,411,943.22 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสาม 2 ครั้ง มีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า30 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลีกเลี่ยงไม่ยอมรับ ส่วนจำเลยที่ 3ได้รับแล้วไม่ชำระหนี้ จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ ถือว่าจำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไม่เคยทำหนังสือรับสภาพหนี้และไม่เคยมอบอำนาจให้ผู้ใดไปทำหนังสือรับสภาพหนี้ การรับสภาพหนี้เป็นกิจการที่ลูกหนี้ต้องทำเองเฉพาะตัว จะมอบอำนาจให้บุคคลอื่นทำการแทนไม่ได้ หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องให้จำเลยที่ 3 เป็นบุคคลล้มละลายเป็นหนี้ที่ขาดอายุความ และไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอนทั้งยังมีข้อต่อสู้อยู่ จำเลยที่ 3 มิได้เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้เป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 เกิดเป็นมูลหนี้ใหม่คือมูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(2) ที่แก้ไขใหม่ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 เป็นการกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 2 ฝ่ายเดียวโดยการทำเป็นหนังสือให้ไว้ต่อโจทก์ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริง โจทก์หาได้ลงลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.9โดยมีการเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ลูกหนี้ หรือสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 349 จึงไม่ทำให้มูลหนี้เดิมระงับสิ้นไปเกิดเป็นมูลหนี้ใหม่คือ มูลหนี้เงินที่ต้องผ่อนชำระทุนคืนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีอายุความ5 ปี ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.9 กับโจทก์ ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(1)ที่แก้ไขใหม่ กล่าวคือ หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3นำสืบรับว่าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ และมีอายุความ 10 ปีย่อมสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใดจึงให้เริ่มนับอายุความใหม่ ตั้งแต่เวลานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/15 ที่แก้ไขใหม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.9 กับโจทก์เมื่อวันที่4 เมษายน 2523 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว แม้ไม่นำการผ่อนชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้มาพิจารณาโดยเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2523เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2533 อันเป็นวันที่โจทก์ฟ้องคดีก็ยังไม่เกิน 10 ปี หนี้ตามคำขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและหนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทซึ่งจำเลยที่ 3 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ จึงไม่ขาดอายุความฎีกาจำเลยที่ 3 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ซึ่งจำเลยที่ 3 ไม่ฎีกาโต้แย้งว่า หลังจากรับสภาพหนี้และจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์บ้างแล้ว ยังมีจำนวนหนี้คงเหลือเกินกว่า 50,000 บาท อยู่มากและจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อได้ความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 9แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อีกทั้งคดีไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยที่ 3 ล้มละลาย เช่นนี้ ฎีกาจำเลยที่ 3 ข้ออื่นนอกจากนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน