แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา มีทางที่จะชนะคดีได้ โปรดอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อนโดยจำเลยไม่ต้องวางเงินประกันค่าเสียหาย เพราะฐานะของโจทก์เปลี่ยนไปเป็นว่าโจทก์ไม่อาจได้รับประโยชน์จากอาคารพิพาทอีกต่อไป เนื่องจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ให้โจทก์ (น่าจะเป็นจำเลย) เช่าตึกพิพาทแล้วตามสัญญาเช่าท้ายคำร้องและปัจจุบันจำเลยก็ชำระค่าเช่าให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
หมายเหตุ ทนายโจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 180)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกไปจากอาคารเลขที่ 56 ถนนราชดำเนินกลาง เขตพระนคร กรุงเทพมหานครตามที่โจทก์ฟ้องห้ามไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับอาคารพิพาทอีกต่อไปให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 9,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาทของโจทก์ให้แก่โจทก์
จำเลยฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว (อันดับ 175,174)
จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์(อันดับ 136) โดยจำเลยได้นำเงินค่าเสียหายเดือนละ 9,000 บาท ที่ต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ตามจำนวนที่ศาลอุทธรณ์สั่ง รวม 216,000 บาท วางไว้ต่อศาลชั้นต้น (อันดับ 137,143,144)และจำเลยได้วางเงินค่าเสียหายรายเดือนต่อ ๆ มาจนถึงเดือนธันวาคม2528(อันดับ 141,141 แผ่นที่ 3,146,148 ถึง 152,156)
ครั้งสุดท้าย จำเลยได้วางเงินค่าเสียหายจำนวน 9,000 บาทไว้ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2529(อันดับ 171)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหาย เดือนละ 9,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารที่พิพาทให้แก่โจทก์ คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันจำเลยจนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาแก้หรือกลับ จึงไม่อนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับ เว้นแต่จำเลยจะวางเงินประกันค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อไป
