แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอ้างว่าหนี้ระงับแล้ว ขอให้บังคับจำเลย ส่งคืนเช็คสองฉบับให้โจทก์ตามสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกร้องกระดาษเช็คในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่มีราคามาเป็นของโจทก์ เพราะ โจทก์หาได้ประสงค์จะถือเอาประโยชน์จากเช็คอันมีมูลค่าฉบับละ 25 สตางค์ นั้นไม่ และหาใช่หนี้ตามเช็คจะระงับต่อเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมาไม่ แต่เป็นคำฟ้องที่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้แล้ว ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อยู่ในอำนาจศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ออกเช็คสองฉบับมอบให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการประกันเงินกู้ที่นางฟองแก้ว สุวรรณโรจน์ กู้เงินห้างจำเลยที่ 1 ไป ต่อมานางฟองแก้ว สุวรรณโรจน์ ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่คืนเช็คให้จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนเช็คทั้งสองฉบับให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ออกเช็คฉบับหนึ่งชำระค่าเช่าซื้อทองคำ จำเลยนำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาโจทก์ชำระเงินสดให้แล้ว จำเลยจึงไม่มีเช็คฉบับนั้นในครอบครอง ส่วนเช็คอีกฉบับหนึ่ง โจทก์ออกชำระหนี้ให้แก่นางอุไรรัตน์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะโจทก์อายัดไว้ นางอุไรรัตน์ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาอยู่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถานคู่ความแถลงร่วมกันว่ากระดาษเช็คที่ธนาคารจ่ายให้ลูกค้ามีราคาแผ่นละ 25 สตางค์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว มีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย และวินิจฉัยว่าคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยคืนเช็ค ทรัพย์ที่โจทก์เรียกคืน คือกระดาษเช็คทั้งสองฉบับมีราคาเพียง 50 สตางค์คดีตกอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 22(4) พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900,914 ประกออบด้วยมาตรา 989 บัญญัติไว้ความว่า ผู้สั่งจ่ายจะต้องใช้เงินแก่ผู้ทรง เช็คทั้งสองฉบับจึงมีค่าในตัวเองเท่าจำนวนเงินที่สั่งจ่ายแต่ละฉบับซึ่งโจทก์เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายต้องรับผิด โจทก์ฟ้องเรียกคืนเช็คทั้งสองฉบับ ซึ่งโจทก์เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายต้องรับผิด โจทก์ฟ้องเรียกคืนเช็คทั้งสองฉบับ ถ้าหากศาลพิพากษาบังคับคดี จะเป็นผลให้โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คทั้งสองฉบับ ความรับผิดของโจทก์ต่อเช็คทั้งสองฉบับเป็นอันระงับไปตามมาตรา 353 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คดีจึงมีทุนทรัพย์เท่าจำนวนเงินที่ระบุในเช็คทั้งสองฉบับรวมเป็นเงิน 27,000 บาท เป็นคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น พิพากษายกคำพิพากษา ศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนสิ้นกระแสความแล้ว พิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอ้างว่าหนี้ระงับแล้ว ขอให้บังคับจำเลยส่งคืนเช็คสองฉบับให้โจทก์ตามสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกกระดาษเช็คในฐานะเป็นทรัพย์สินที่มีราคาฉบับละ 25 สตางค์ มาเป็นของโจทก์ เพราะโจทก์หาได้ประสงค์จะถือเอาประโยชน์จากเช็คอันมีมูลค่าฉบับละ 25 สตางค์นั้นไม่ ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าคดีมีทุนทรัพย์ 50 สตางค์ ดังคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าถ้าศาลบังคับตามคำขอของโจทก์ ย่อมทำให้ความรับผิดของโจทก์ตามจำนวนเงินในเช็คระงับไปนั้น ก็เห็นว่าตามฟ้องโจทก์อ้างว่านางฟองแก้ว สุวรรณโรจน์ ชำระหนี้เงินกู้แล้ว เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้แล้ว หาใช่หนี้ตามเช็คจะระงับต่อเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมาไม่ ทั้งตามคำให้การจำเลยก็มิได้อ้างว่ายังมีมูลหนี้ตามเช็คที่โจทก์จะต้องรับผิดต่อตนแต่อย่างใด ศาลฎีกาจึงเห็นว่าคดีตามฟ้องไม่มีทุนทรัพย์เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลจังหวัดที่จะพิจารณาพิพากษา ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน