แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จำเลยไม่ยอมรับ เจ้าพนักงานศาลจึงวางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ต่อหน้าจำเลยโดยมิได้มีพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่มีอำนาจหรือเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยเพื่อเป็นพยานไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 78 และการที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดหมายโดยศาลมิได้สั่งให้ส่งโดยวิธีนี้ ไม่ชอบด้วยมาตรา 79 จึงต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น การที่จำเลยถูกจับกุมตัวมาศาลเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลและจำเลยแถลงต่อศาลว่ายินดีที่จะโอนที่ดินตามคำพิพากษาให้โจทก์ จึงไม่มีผลไปด้วย
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยโดยไม่ชอบนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งให้ข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การนั้นเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
ย่อยาว
มูลกรณีชั้นนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยโอนที่ดิน หากไม่ได้ให้คืนเงินค่าที่ดิน จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ อ้างว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยเป็นคนโง่เขลาอ่านหนังสือไม่ออก ไม่ทราบว่าหมายนัดและสำเนาคำฟ้องนั้นเป็นหนังสืออะไร สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอม หากจำเลยได้ต่อสู้คดีกับโจทก์แล้วจำเลยมีทางชนะคดี
โจทก์คัดค้านว่าข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวได้ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องตลอดจนส่งหมายนัดกำหนดวันสืบพยานโจทก์ให้จำเลย มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกให้ยื่น คำให้การและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยและพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดแจ้งวัดนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลย ขัดต่อกฎหมาย กล่าวคือเมื่อเจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับ โดยมิได้มีพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่มีอำนาจหรือเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยเพื่อเป็นพยาน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 78 และการที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดหมาย โดยศาลมิได้สั่งให้ส่งโดยวิธีนี้นั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 ดังนี้ จึงต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยและภายหลังแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย การที่จำเลยถูกจับกุมตัวมาศาลเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล และจำเลยแถลงต่อศาลว่ายินดีที่จะโอนที่ดินตามคำพิพากษาให้โจทก์ ซึ่งโจทก์อ้างในฎีกาว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น จึงไม่มีผลไปด้วย การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยโดยมิชอบนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมและเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้อง แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
พิพากษายืน