แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทรัพย์ซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์อันรวมถึงดอกเบี้ยซึ่งคำนวณและถือได้เป็นรายวัน ดังนั้น ผู้จำนองจึงต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยตั้งแต่วันจดทะเบียนจำนองเป็นต้นไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญาทรัสต์รีซีทไว้กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ตามสัญญาดังกล่าว และทำสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทไว้ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน ๕,๑๔๓,๘๘๗.๑๘บาท และหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทจำนวน ๒๐๙,๑๐๔.๓๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวร้อยละ ๑๘ และ ๑๕ ต่อปีตามลำดับ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท จึงรับผิดเพียงจำนวนดังกล่าวโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้จำนวน ๔,๓๕๑,๕๐๕.๗๘บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๒,๗๐๔,๗๔๒.๒๘บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบก็ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ โดยให้จำเลยที่ ๒ รับผิดจำนวน ๕๕๙,๑๐๔.๓๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท นับแต่วนที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ เป็นต้นไปและในต้นเงิน ๑๑๒,๔๑๒.๒๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไปกับให้จำเลยที่ ๓ รับผิดจำนวน ๒,๔๐๙,๑๐๔.๓๕ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ เป็นต้นไป และในต้นเงิน ๑๑๒,๔๑๒.๒๐บาท นับแต่วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๒๕ เป็นต้นไป ถ้าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบก็ให้บังคับจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จำนอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๒,๕๙๒,๓๓๐.๐๘ บาท พร้อมดอเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๕ และชำระดอกเบี้ยต่อไปในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของยอดเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๕ นับแต่วันที่ ๒๒มีนาคม ๒๕๒๕ และชำระเงินจำนวน ๑๑๒,๔๑๒.๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๐ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ก็ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชำระหนี้ดังกล่าวแทนโดยให้จำเลยที่ ๒และที่ ๓ รับผิดจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท และ ๒,๒๒๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม๒๕๒๕ และร่วมกับจำเลยที่ ๑ รับผิดจำนวนเงิน ๑๑๒,๔๑๒.๒๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีนับแต่วันที่ ๓๐กันยายน ๒๕๒๐ ทั้งนี้จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มูลหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทไม่มีฝ่ายใดฎีกาจึงยุติสำหรับหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ตามฎีกาโจทก์ว่าจำนวนเงินค่าดอกเบี้ยที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ต้องรับผิดแทนจำเลยที่ ๑ ต่อโจทก์ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ต่ำไปกว่าที่โจทก์ควรได้รับ กล่าวคือศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับผิดเรื่องดอกเบี้ยนับตั้งแต่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๕อันเป็นวันครบกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวของโจทก์นั้นไม่ชอบ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๕ บัญญัติว่า ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วยคือ (๑) ดอกเบี้ย ฯลฯ และตามมาตรา ๑๑๑ บัญญัติไว้มีใจความว่าดอกเบี้ยย่อมคำนวณและถือได้เป็นรายวัน ดังนั้นเมื่อมีการจำนองเป็นประกันหนี้แล้วทรัพย์สินที่จำนองต้องเริ่มผูกพันรับผิดตั้งแต่วันที่เอาทรัพย์สินจำนอง จำเลยที่๒ จดทะเบียนจำนองไว้เป็นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนจำเลยที่ ๓ ได้จำนองที่ดินไว้กับโจทก์เพื่อประกันหนี้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๑ เป็นเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งในวันที่ ๒๙มีนาคม ๒๕๒๑ อันเป็นวันที่โจทก์ขอให้จำเลยที่ ๒ เริ่มรับผิดเรื่องดอกเบี้ยนั้นปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๒๑๗ว่า วันดังกล่าวจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่จำนวน ๓๕๙,๙๖๙.๔๕ บาท ซึ่งเกินกว่าจำนวนที่จำเลยที่ ๒ จดทะเบียนจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ แล้ว และหลังจากนั้นหนี้ของจำเลยที่ ๑ ก็เพิ่มขึ้นจากจำนวนดังกล่าวโดยลำดับ จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในต้นเงินตามที่จดทะเบียนจำนองคือ ๓๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ต่อปีโดยคิดแบบทบต้นจนถึงวันที่ครบกำหนดการบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบังคับจำนองถือวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๕ ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นจากต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทจนกว่าจำเลยที่ ๒ จะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ มิใช่คิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นต่อไปจากต้นเงินจำนวน ๖๓๔,๐๘๕.๖๕ บาท ตามที่โจทก์ฎีกา เพราะจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดในต้นเงินไม่เกิน ๓๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนกรณีของจำเลยที่ ๓ ซึ่งจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไว้ ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๓รับผิดเรื่องดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่จำเลยที่ ๓ จดทะเบียนจำนอง คือวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๑ จากต้นเงิน ๑,๘๖๙,๙๖๙.๔๕ บาท อันเป็นจำนวนที่จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์อยู่ในวันดังกล่าวนั้น ปรากฏว่าตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.๒๑๗ จำเลยที่ ๑เป็นหนี้โจทก์อยู่ตามจำนวนหนี้ดังกล่าวจริง หลังจากนั้นหนี้ของจำเลยที่ ๑ ก็เพิ่มขึ้นจากจำนวนดังกล่าวโดยลำดับนอกจากต้นเงินแล้วจำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดเรื่องดอกเบี้ยตั้งแต่วันจดทะเบียนจำนองอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน๑,๘๖๙,๙๖๙.๔๕ บาท คิดแบบทบต้นไปจนถึงวันที ๒๑ มีนาคม ๒๕๒๕ เช่นกัน แต่จำนวนต้นเงินนั้นจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดไม่เกิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นต่อไปจึงต้องคิดจากต้นเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น มิใช่ต้นเงินจำนวน๓,๓๘๕,๔๒๗.๐๔ บาทตามที่โจทก์ฎีกา
พิพากษาแก้เป็นว่า หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ชำระหนี้ให้โจทก์แทนจำเลยที่ ๑ โดยให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ รับผิดในต้นเงินจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท และ ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ ๑๕ ต่อปีในต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท และ๑,๘๖๙,๙๖๙.๔๕ บาทนับแต่วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๑ ถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม๒๕๒๕ ต่อจากนั้นให้คิดดอกเบี้ยอัตราเดียวกันแบบไม่ทบต้นในต้นเงิน ๓๕๐,๐๐๐ บาท และ ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาทตามลำดับ จนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์เสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.