คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5220/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 เตรียมเงินจำนวน 850,000 บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ 1 สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ 2 ได้ในปริมาณราคาเพียง 600,000 บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ 3 เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก 250,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ ๓.๓๘๕ กิโลกรัมไว้เพื่อจำหน่าย เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมเฮโรอีนดังกล่าวกับเงินสด ๒๕๐,๐๐๐ บาท อันเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่จำเลยใช้ในการซื้อเฮโรอีนของกลาง และรถยนต์ ๑ คันที่จำเลยทั้งสามใช้ในการติดต่อและนำเฮโรอีนดังกล่าวไปจำหน่ายเป็นของกลาง จำเลยที่ ๓ เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรหลังจากระยะเวลาที่อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้วขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔,๗,๘,๑๕,๖๖,๑๐๒ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓,๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕๒๖ มาตรา ๔ และริบของกลาง กับนับโทษจำเลยที่ ๓ ต่อจากโทษในคดีอื่น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ ๓ รับว่าเป็นจำเลยที่ ๑ ในคดีอื่นจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๖๖ วรรคสอง ให้ประหารชีวิตคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ประกอบกับมาตรา ๕๒ ที่แก้ไขแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิต และจำเลยที่ ๓ ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๘๑ ให้ปรับ ๔,๐๐๐ บาท เมื่อจำเลยที่ ๓ ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตแล้วนับโทษต่อจากคดีอาญาอื่นอีกไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ที่แก้ไขแล้ว ริบเฮโรอีนและรถยนต์ของกลาง เว้นเงินสด ๒๕๐,๐๐๐ บาท แม้จะฟังว่าจะนำมาซื้อเฮโรอีน แต่เมื่อยังไม่ได้ซื้อถือไม่ได้ว่าเป็นวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ริบให้คืนเจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบเงินสด ๒๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๓ กระทำผิดตามฟ้องแล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๓ ได้เตรียมเงินมาทั้งสิ้นจำนวน ๘๕๐,๐๐๐ บาท เพื่อนำมาซื้อยาเสพติดตามที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ติดต่อกับผู้ขาย แต่จำเลยที่ ๑ สามารถนำยาเสพติดของกลางมามอบให้จำเลยที่ ๒ ได้ในปริมาณราคาเพียง ๖๐๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น เงินที่จำเลยที่ ๓ เตรียมมาดังกล่าวจึงยังคงเหลืออีก ๒๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งก็เป็นจำนวนเดียวกันกับเงินที่ได้เตรียมมาซื้อยาเสพติดในตอนแรกนั่นเอง จึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓(๑) ซึ่งบัญญัติให้อำนาจศาลที่จะสั่งริบเสียได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบเงินของกลางจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาท เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share