แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เอกสารที่โจทก์อ้างเป็นพยานมิใช่สัญญากู้ยืม หากเป็นหลักฐานการกู้ยืมเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายตามประมวลรัษฏากร มาตรา 118แม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็หาต้องด้วยข้อห้ามในการรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในต้นเงินกู้ยืมและดอกเบี้ย 52,663บาท แต่ฟังได้ว่าจำเลยต้องรับผิดในต้นเงินเพียง 18,000 บาทและไม่ค้างชำระดอกเบี้ย มีเหตุสมควรให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเท่าที่โจทก์ชนะคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 52,663 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง จำเลยให้การว่าชำระต้นเงินบางส่วนพร้อมดอกเบี้ยคืนให้แก่โจทก์แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นจำนวน 18,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยได้ชำระต้นเงินในหนี้เงินกู้รายพิพาทตามฟ้องให้แก่โจทก์แล้ว 10,000 บาทยังคงค้างชำระต้นเงินอีก 20,000 บาทตามหลักฐานเอกสารหมาย ล.2และฟังว่าจำเลยได้ผ่อนชำระต้นเงินคืนให้เดือนละ 200 บาท เป็นเวลารวม 10 เดือน เป็นเงิน 2,000 บาท รวมเป็น 12,000 บาทจึงยังคงค้างชำระเงินต้นอยู่อีก 18,000 บาท จำเลยอุทธรณ์และฎีกาขึ้นมาว่ามีหลักฐานตามเอกสารหมาย ล.4 ว่า โจทก์ได้รับชำระต้นเงินคืนอีก 5,000 บาท จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ต้นเงินจำนวนนี้อีกนั้นฎีกาของจำเลยในข้อนี้ปรากฏตามคำเบิกความของจำเลยว่า ขณะโจทก์ทำเอกสารหมาย ล.4 ให้จำเลยไว้เมื่อเดือนสิงหาคม 2521 จำเลยยังคงเป็นหนี้อยู่อีก 13,000 บาทนั้น จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ยอมรับว่าจำเลยได้กู้เงินจากโจทก์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์2518 จำนวน 5,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.1 แต่จำเลยจำไม่ได้ว่าได้ชำระหนี้รายดังกล่าวแล้วหรือยัง เห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำรับของจำเลยเกี่ยวกับหนี้รายดังกล่าวเจือสมกับที่โจทก์เบิกความว่าได้ให้จำเลยกู้เงินมาแล้วก่อนหนี้รายพิพาทนี้ ดังนั้นตามข้อความในเอกสารหมาย ล.4 ที่มีว่าเป็นหนี้ 20,000 บาท และมีข้อความในวงเล็บถัดไปว่า เมื่อกรกฎาคม 2521 ให้ 5,000 บาท จึงฟังได้ตามที่โจทก์เบิกความว่าหมายถึง ยอดหนี้ราย 5,000 บาทดังกล่าวจำเลยได้ชำระให้โจทก์เสร็จสิ้นไปแล้วตามที่โจทก์ได้บันทึกให้ไว้ในตามเอกสารหมาย ล.4 นั้น หาใช่เป็นการชำระหนี้รายพิพาทไม่มิฉะนั้นจำเลยก็ย่อมให้โจทก์คิดหักจากต้นเงิน 20,000 บาท แต่ครั้งที่โจทก์เขียนบันทึกหมาย ล.4 นั้น ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาจำเลยในปัญหาว่าสัญญากู้เอกสารหมาย จ.2 ยังมิได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วน จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้นั้นจำเลยมิได้อ้างว่าโจทก์ติดอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วนอย่างไร อย่างไรก็ตามเห็นว่า เอกสารหมาย จ.2 มิใช่เป็นสัญญากู้ยืม หากเป็นหลักฐานการกู้ยืมเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118ดังนั้น แม้จะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็หาต้องด้วยข้อห้ามในการรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามที่จำเลยฎีกาไม่ ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นสำหรับฎีกาจำเลยข้อสุดท้าย ขอให้จำเลยรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมเท่าที่โจทก์ชนะคดีนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในต้นเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยเป็นเงิน 52,663 บาทแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยต้องรับผิดในต้นเงินเพียง 18,000 บาทและไม่ค้างชำระดอกเบี้ย คดีจึงมีเหตุสมควรให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นเท่าที่โจทก์ชนะคดี ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ”