คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1293/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจพิสูจน์ลายมือนั้น. เมื่อผู้เชี่ยวชาญคนใดของกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ได้ผลประการใดและทำรายงานความเห็นส่งมายังศาลแล้ว ก็เป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกัน. ไม่จำต้องส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่. เพราะเป็นการตรวจพิสูจน์ซ้ำ.และไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม.
ผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปหลายคราว แต่ทำสัญญากู้รวมกันให้โจทก์ไว้ฉบับเดียวตามที่โจทก์นำมาฟ้อง. ดังนี้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายฟ้องว่าผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราวคราวละเท่าใด ทำหนังสือกู้ลงวันเดือนปีใด. เพียงแต่บรรยายฟ้องเกี่ยวกับสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องก็พอ.
เมื่อศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้อง ย่อมเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หากจำเลยจะอุทธรณ์คัดค้าน ต้องยื่นคำแถลงคัดค้านไว้.
บัญชีทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564วรรค 1 ซึ่งนำมาใช้กับการจัดการมรดกตามมาตรา 1730.ย่อมหมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งได้จัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก ภายหลังที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว. หาได้หมายถึงบัญชีทรัพย์มรดกที่ทำยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่.
เมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้ว. ผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้. โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อนายอุทัย ณ ระนอง มีชีวิตอยู่ ได้ยืมเงินโจทก์ไปหลายคราว เป็นเงินหนึ่งแสนบาทเศษ และได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมานายอุทัยได้ถึงแก่กรรม โจทก์เป็นบุตรและจำเลยเป็นภริยาผู้ตายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันตามคำสั่งศาล โจทก์ได้ขอให้จำเลยเอาทรัพย์สินในกองมรดกชำระหนี้ตามสัญญา จำเลยไม่ยอม ขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่า นายอุทัยผู้ตายไม่เคยกู้เงินโจทก์ ลายเซ็นในสัญญากู้ไม่ใช่ลายเซ็นของนายอุทัยผู้ตาย สัญญาที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาปลอม โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ลงมือทำบัญชีทรัพย์สินแต่ไม่ได้แจ้งให้ศาลทราบถึงหนี้ที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ของนายอุทัยผู้ตาย หนี้รายนี้จึงสูญไปตามกฎหมาย ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ศาลยกฟ้อง ศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่ให้โจทก์นำสืบก่อน เมื่อสืบพยานโจทก์แล้วจำเลยขอให้ศาลส่งสัญญากู้ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจตรวจลายมือผู้กู้ ศาลเห็นว่าสัญญากู้ได้ส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์และได้รับรายงานผลของการตรวจมาแล้วจึงไม่อนุญาตให้ส่งไปตรวจซ้ำอีกตามที่จำเลยขอ จำเลยยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งไว้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และเชื่อว่านายอุทัยผู้ตายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง และได้นำเงินไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการอาชีพที่จำเลยมีส่วนร่วมอยู่ด้วย หนี้ของนายอุทัยผู้ตายจึงเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1482 จำเลยจึงต้องรับผิด สำหรับมรดกของนายอุทัยผู้ตายนั้น ศาลได้ตั้งให้โจทก์จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกันก่อนยื่นคำร้องต่อศาล โจทก์จำเลยได้ทำบัญชีทรัพย์สินของผู้ตายยื่นพร้อมกับคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกบัญชีทรัพย์ดังกล่าวนี้มิใช่บัญชีทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564, 1730 ฉะนั้น การที่โจทก์มิได้แจ้งต่อศาลว่าผู้ตายเป็นหนี้โจทก์ ก็ไม่ทำให้สิทธิที่จะเรียกให้กองมรดกชำระหนี้โจทก์สูญไป พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ส่งเอกสารสัญญากู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ตามคำขอของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1. ตามที่จำเลยขอให้ศาลส่งเอกสารสัญญากู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ซ้ำอีก โดยระบุชื่อผู้เชี่ยวชาญไปด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อผู้เชี่ยวชาญคนใดคนหนึ่งในกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์ได้ผลประการใดและได้รายงานผลให้ศาลทราบแล้ว ก็น่าจะเป็นการเพียงพอสำหรับปัญหาที่โต้เถียงกันถ้าส่งเอกสารไปให้ตรวจพิสูจน์ใหม่อีกตามที่จำเลยขอ น่าจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิม นอกจากจะเป็นการฟุ่มเฟือยและประวิงคดีให้ล่าช้าเท่านั้น 2. ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไม่จำเป็นต้องบรรยายว่านายอุทัยผู้ตายกู้เงินโจทก์ไปกี่คราว ๆ ละเท่าใด ทำสัญญากู้วันเดือนปีใดใครเป็นพยานบ้าง ปัญหาสำคัญมีว่านายอุทัยผู้ตายได้กู้เงินโจทก์ไปจริงตามฟ้องหรือไม่เท่านั้นโจทก์ได้บรรยายไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่านายอุทัยผู้ตายได้กู้และรับเงินไปจากโจทก์หลายคราวรวมทั้งได้รับไว้ในวันทำสัญญาตามฟ้องนี้อีก 5,000 บาทด้วย เป็นเงินรวมหนึ่งแสนบาทเศษโจทก์จึงให้ทำสัญญากู้ไว้เป็นเงินหนึ่งแสนบาทถ้วน จำเลยจึงเข้าใจข้อหาของโจทก์ได้ดีอยู่แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม 3. การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นการชอบหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จำเลยต่างยื่นคำร้องแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำให้การด้วยกัน ในวันนัดพิจารณาคำร้อง โจทก์จำเลยต่างแถลงว่าไม่คัดค้านที่อีกฝ่ายหนึ่งขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำให้การ ศาลจึงอนุญาตให้โจทก์จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและคำให้การได้ตามขอซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ถ้าจำเลยเห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องแถลงคัดค้านติดสำนวนไว้ จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลได้ แต่จำเลยหาได้แถลงคัดค้านไม่ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) 4. หนี้ของโจทก์จะสูญไปตามกฎหมายเพราะโจทก์ไม่ได้แจ้งต่อศาลว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้ใดหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ในเบื้องต้นโจทก์จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายและได้ทำบัญชีทรัพย์แนบติดกับคำร้องเพื่อประกอบการวินิจฉัยของศาลคำว่า บัญชีทรัพย์มรดกซึ่งจัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดก หมายถึงบัญชีทรัพย์ซึ่งผู้จัดการมรดกที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลเป็นผู้จัดทำหาใช่บัญชีทรัพย์ที่ยื่นพร้อมกับคำร้องไม่ เพราะขณะทำบัญชีโจทก์จำเลยยังไม่มีหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก ฉะนั้น โจทก์มิได้แจ้งต่อศาลว่าผู้ตายเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ จึงไม่ขัดต่อมาตรา 1564 อันจะทำให้หนี้ของโจทก์ต้องสูญไป 5. ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้ศาลตั้งผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจเอกสารและศาลมีคำสั่งตั้งตามขอแล้วผู้เชี่ยวชาญนั้นจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง ศาลย่อมรับฟังรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญนั้นได้โดยไม่ต้องเรียกให้มาสาบานหรือปฏิญาณรับรองรายงานนั้นอีก เว้นแต่ศาลยังไม่พอใจความเห็นนั้นหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดร้องขอ ศาลจึงจะเรียกผู้เชี่ยวชาญนั้นมาเบิกความประกอบรายงาน ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อเท็จจริงฟังว่า นายอุทัย ณ ระนอง ผู้ตายได้ยืมเงินโจทก์ไปจริงตามฟ้อง พิพากษายืน.

Share